วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ขอบคุณความจน?? ที่จะทำให้เราไม่จน

ใครเคยโทษโชคชะตาที่เราเกิดมาจน เกิดมาแล้วไม่มีเหมือนคนอื่นๆ บ้างมั้ยครับ ?

จริงๆ เกิดมาจน เกิดมาไม่มีเหมือนคนอื่น ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ
ผมมองว่ามันเป็นเรื่องโชคดีซะอีก

ลองคิดดูครับ คนที่มีพร้อมทุกอย่าง พ่อแม่หาให้ทุกอย่าง เค้าจะเก่งได้อย่างไร เค้าจะเคยล้มเหลวมั้ย หรือพ่อแม่จะประครองเค้าไปตลอดชีวิต
คนเราพอไม่เดือดร้อนอะไร เราก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขวนขวาย ไม่ได้เสาะแสวงหา ไม่ได้คิดจะพัฒนา ไม่มีเป้าหมายที่ท้าทาย(พ่อแม่ช่วยทุกอย่าง)

กลับกันครับ คนที่ไม่ได้มีพร้อมตั้งแต่เกิด ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน หรือหนักหน่อย ต้องทำงานเลี้ยงปากท้องตัวเอง หรือ คนในครอบครัว ก็จะเจอปัญหาเยอะกว่า เคยแก้ปัญหามากกว่า ที่สำคัญทำให้ประสบการณ์มากกว่า

ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้ว่า "จะไม่ยอมลำบากแบบนี้อีกเป็นอันขาด" (ถ้าเขาคิดได้ว่าต้องตั้งเป้าหมายนะครับ) ใช่ครับ มันเหนื่อย มันยาก แต่เป้าหมายที่เจ๋ง ก็ต้องมีวิธีการเดินทางไปยังเป้าหมายที่ดีด้วย ถึงมันจะเหนื่อย มันจะยาก ถ้าวางแผนดี อาจจะมองเห็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก่อน เราก็พอจะคิดล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะรับมือปัญหานั้นอย่างไรดี

คนเหล่านี้ ถ้าไม่ท้อใจ ล้มแล้วไม่ลุกขึ้นยืนใหม่ โทษโชคชะตาเสียก่อนที่จะพยายามใหม่ ก็น่าจะเป็นคนนึงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ครับ หากไม่ถึงขั้นนั้น อย่างน้อยเค้าก็จะไม่ลำบากเหมือนก่อน มีประสบการณ์ไว้สอนลูกหลาน

แต่หากเราตายไปทั้งที่ยังจนอยู่ อย่าไปโทษโชคชะตาครับ โทษตัวเราเองดีกว่า เพราะทั้งชีวิตคุณทำอะไรอยู่ ไม่มีการพัฒนาตนเอง ไม่มีการเพิ่มรายได้ แต่ถึงตอนนั้นก็สายเสียแล้วล่ะครับ

ไม่อยากจนก็ต้องมีความคิดที่มีการพัฒนาด้วยครับ

ปล.ถ้าชอบแชร์ได้เลยครับ
fb.com/WelathyStoryTH

วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ใช้บัตรเครดิตอย่างไรให้ฉลาด

ช่วงสัปดาห์นี้อ่านข่าวเจอเรื่องสินเชื่อ การผิดนัดชำระ หนี้ NPL สูงขึ้น และอีกมากมาย จริงๆเรื่องบัตรเครดิตมีไว้ไม่เสียหาย (จะเสียหายก็ตอน sale โทรมาขายของนี่แหละครับ ฮ่าๆ เพราะได้ข้อมูลส่วนตัวเราไป) แต่ถ้ามีบัตรเครดิตแล้วใช้จ่าย ผ่อนของไม่จำเป็นกันอย่างเพลิดเพลิน คงไม่ดีแน่ครับ

ผมเคยยกตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตให้ดูแล้วนะครับ (Link)

ด้วยบัตรเครดิตมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 20% ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดชำระ ดอกเบี้ยจะเริ่มถูกคิดทันทีครับ

"บัตรเครดิตเป็นตัวที่ทำให้เราเสียความมีวินัย อย่างร้ายแรงเลยครับ เพราะมันให้เราใช้เงินในอนาคตได้ การเงินปัจจุบันจะแย่ลงทันตาในเดือนถัดไป เพราะต้องเอาเงินปัจจุบันไปจ่ายหนี้ที่ใช้ไปเดือนที่แล้วยังไงล่ะ"

ใช้บัตรเครดิตให้ฉลาด มันเป็นอย่างไร

1. เก็บวงเงินไว้ใช้ยามจำเป็นจะดีกว่า

ความจำเป็นที่ว่า เช่น เจ็บป่วย อุบัติเหตุ เข้าโรงพยาบาล  คือ ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้นะครับ คุณแม่เข้าโรงพยาบาล ต้องรักษาตัวอยู่หลายวัน พอวันที่จะออกจากโรงพยาบาล ต้องชำระเงินแล้วเงินสดผมก็มีไม่ถึง (เพราะว่าหักเก็บออมไปหมดแล้ว เหลือไว้แค่พอใช้ในเดือนนั้น) ก็ต้องพึ่งบัตรเครดิตเพราะเหตุนี้ครับ
"หากมีบัตรแล้วจะทำให้เราจำเป็นบ่อยขึ้น หากเป็นเช่นนั้นไม่ควรทำบัตรเครดิตดีกว่าครับ ด้วยการที่เราหักห้ามใจไม่ได้ วินัยจะเสียซ้ำสอง อาจจะตามด้วยหนี้ และมีของแถมเป็นดอกเบี้ยแสนแพง"

2. หากจะผ่อน ผ่อนเฉพาะ 0% เท่านั้น และควรจะผ่อนทีละอย่าง

เพราะว่า ยิ่งผ่อนหลายอย่าง ยิ่งทำให้จน ของก็เสื่อมสภาพไป หนี้ก็ใช้ยังไม่หมด หลายผลิตภัณฑ์ จัดโปรโมชัน ผ่อน 0% จะกี่เดือนก็ว่าไปกันไป หลอกล่อให้เราเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น เจอกรณีแบบนี้ต้องตั้งสติเข้าไว้ครับ จำเป็นหรือไม่ หรือแค่ต้องการ ถามตัวเองหลายๆรอบครับ

3. ถ้าไม่ได้ผ่อน กรุณาชำระหนี้เต็มจำนวน

หากคิดว่าไม่สามารถชำระหนี้เต็มจำนวนได้ กรุณาอย่าใช้บัตรเครดิต อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นเรื่องอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต 20% เยอะมากนะครับ และไม่ใช่ว่าการจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ หนี้ของคุณจะหมดใน 10 เดือนนะ (ชำระขั้นต่ำ 10%) ลองดูตัวอย่างการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ผมแปะลิงค์ไว้ด้านบนครับ ถ้าคุณจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ คงต้องจ่ายจนสิ้นลมหายใจแน่ๆ

4.ใช้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

ใช้บัตรเครดิตแล้วมี ส่วนลด ได้คะแนนสะสม นำมาแลกของรางวัลได้ และอีกเรื่องคือ ถ้าจะซื้อของผมจะรูดซื้อหลังจากวันตัดยอด 1 วัน เพราะจะทำให้คุณมีเวลาเพิ่มขึ้นอีก 15 วันในการครบกำหนดจ่ายครั้งหน้า

5.อย่าใช้เพราะเห็นแก่คะแนนสะสมเพียงอย่างเดียว

กรุณาคิดถึงภาระหนี้ด้วย คะแนนสะสมไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้น แต่หนี้ทำให้คุณจนลง อย่างเช่นโปรโมชัน ซื้อเท่านั้น ได้แต้ม x2 ซื้อเท่านี้ ได้แต้ม x5 ประมาณนี้ครับ คือถ้าสินค้าชิ้นนั้นไม่ได้จำเป็นกับเรา เราต้องเสียตังเพื่อแลกแต้มมั้ยครับ ?? ผมพูดถึงคะแนนสะสมเพื่อให้เห็นภาพโปรโมชันที่มีจริงๆนะครับ หากรวมๆแล้วก็คือโปรโมชันที่คอยมาดูดเงินเรานี่แหละครับ บางท่านรูดเพลิน เดือนหน้าก็เป็นมนุษย์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีก กินบ่อยๆไม่ดีนะครับ ผมร่วงหมด แย่เลย

6.ชำระหนี้ให้ตรงกำหนดทุกงวด

เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ไม่เกิดดอกเบี้ย แถมประวัติทางการเงินที่ดีอีกด้วย ซึ่งประวัติทางการเงินที่ดี สามารถช่วยให้คุณขอกู้ ได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่า ผมแนะนำให้เป็นการกู้เพื่อที่อยู่อาศัย หรือ กู้เพื่อสร้างรายได้ในอนาคต เช่น สร้างกิจการ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามการมีบัตรเครดิตอยู่ในมือก็เป็นการเสี่ยงที่จะมีหนี้บานปลายได้ หากท่านไม่สามารถควบคุมจิตใจในการใช้จ่ายได้ ไม่มีวินัยในการใช้จ่าย นึกอยู่เสมอครับว่า จำเป็นไหม ? ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ คิดเสมอว่า อย่าปล่อยให้เกิดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด อันตรายหนักมาก T^T 20% ++ ต่อปี ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดทำการยังแค่ 12% เท่านั้นเองครับ

ปล.ผมไม่สนับสนุนให้มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และดอกแพงๆแบบนี้นะครับ



วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

รักความสบายมากเกินไป ศัตรูตัวร้ายของชีวิต

หัวข้อนี้รุนแรงมากๆ ฮ่าๆ ใครๆก็รักสบายครับ ผมก็ชอบความสบายมากๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีมันทุกเวลาของชีวิต

"คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยไม่เกิน 8 บรรทัด" ใครอ่านได้เกินแสดงว่าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและ สมมุตว่าอ่านได้ 9 บรรทัด (ภูมิใจไหม)

คนไทยสนใจเรื่องความบันเทิง มากกว่าการพัฒนาตนเอง ? (เล่นเกม ดูหนัง ติดซีรีย์ บลาๆๆ)

2 เรื่องที่ยกตัวอย่างมาก็ค่อนข้างมีผลกระทบต่อชีวิตบ้างแล้วครับ

แล้วความสบายมาเกี่ยวยังไง?
ผมขอพูดเป็นอีกคำนึงแทนแล้วกันครับ รักสบายมากเกินไป = กลัวลำบาก  อะไรที่ดูแล้วจะทำให้เราลำบากแน่ๆ เช่น วันหยุด เวลามากๆ งานไม่ต้องทำ นอน ดูหนังหาความเพลิดเพลินให้ตัวเอง แทนที่จะหาหนังสือมาอ่าน หรือศึกษาความรู้เพิ่มเติม เพราะว่า อ่านแล้วหลับแน่ๆ ศึกษาอะไรเพิ่มเติม ปวดหัวไม่เอาดีกว่า (เป็นข้ออ้างกับตัวเอง และก็อนุมัติให้ตัวเองขี้เกียจซะอย่างนั้น)

หรือ เรื่องเก็บเงิน คนทั่วๆไป ที่น่าจะยากจน คงคิดว่า "เก็บไปแล้วเดือนนี้จะใช้อะไรล่ะ มันไม่พอใช้" ไม่พอใช้ผมไม่ว่านะ แต่ถามว่า

  • คุณใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือเปล่า 
  • ลองลดค่าใช้จ่ายของคุณหรือยัง หรือ
  • เริ่มต้นง่ายๆ ทำบัญชีรับ-จ่าย ได้กี่วันแล้ว 

ถ้าทำทั้งหมดแล้วยังไม่พอใช้ คุณก็ต้องพัฒนาตนเอง ให้มีความสามารถ อัพเงินเดือนให้ตัวเอง สร้างมูลค่าให้ตัวเอง องค์กรไหนเค้าก็สู้เงินเดือน ถ้าคุณเก่ง ขยันทำงาน และทำประโยชน์มากมายให้กับองค์กร

แต่สำหรับคนที่น่าจะจนยาก คงคิดว่า

  • พิจารณารายรับรายจ่าย เดือนนี้เราซื้ออะไรมากเกินไป เดือนหน้าลองลดดูนะ
  • หาหนังสือพัฒนาตนเองมาอ่านสักหน่อย เพิ่มความสามารถในการทำงาน

ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า ผมว่าจริง สละเวลาพักผ่อนหย่อนใจธรรมดา เป็นอ่านหนังสือหาความรู้ด้วย แถมพักผ่อนหย่อนใจได้อีก (อันนี้ผมเป็น เพราะว่า รู้สึกมีความสุขมาก เวลาอ่านหนังสือแล้วเข้าใจ ฮ่าๆ) รู้ก่อน ทำได้ก่อน ก็ได้เปรียบกว่า คุณจะรู้ข้อผิดพลาดก่อน จริงๆคุณไปบอกคนอื่นต่อได้ แต่ถ้าเขาไม่เจอเอง ก็จะไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอกครับ

ใครยังรักสบาย ยังกลัวลำบาก ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรครับ คุณอยู่กับที่ของคุณนั่นแหละ รอดูคนอื่นแซงหน้าคุณไปเรื่อยๆ จนคนรุ่นหลังก็แซงไป รอให้คนแซงหน้าคุณไปจนคุณนึกขึ้นได้ว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าคิดและทำได้ตอนนี้ก็น่าจะไม่สายนะครับ :D

วันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี้ ทดลองสละเวลาแห่งความบันเทิง มาเป็นเวลาแห่งการเพิ่มความรู้ดูครับ จะนั่งอ่าน blog WealthyStory หรือหนังสือเล่มที่สนใจก็ไม่ว่ากันครับ ถ้าอย่างน้อยคุณก็เริ่มจะกระโดดออกมาจาก comfort zone อันแสนสบาย ของคุณได้บ้างแล้ว

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สร้างวินัยการลงทุน ด้วยเทคนิคการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging (DCA)

หลังจากที่เราเริ่มสร้างวินัยของเราด้วยการออมแล้ว โดยเก็บเงินออมทุกๆเดือน เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ต่อไปเรามารู้จักกับเทคนิคการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging (DCA) สร้างวินัยได้อย่างไร

Dollar Cost Averaging (DCA) 

เทคนิคการลงทุนนี้คือ ใช้เงินจำนวนเท่าๆกัน ในการซื้อหน่วยลงทุน ถัวกันไปทุกๆเดือน สังเกตว่า จะมีลักษณะคล้ายๆกับการเก็บออมเงิน เท่าๆกันทุกๆเดือน (สูตรสำเร็จการออมเงิน [รายรับ - เงินออม= รายจ่าย]) 

โดยเทคนิคการลงทุนแบบ DCA นั้น จะไม่สนใจราคาของหน่วยลงทุนนั้นๆ โดยเราจะได้หน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน ลองดูรูปตัวอย่างครับ


สังเกตุในส่วน Hi light สีแดงครับ จะเป็นช่วงราคาขาลง ในเดือนที่ 8 ราคาอยู่ที่ 9 บาท แต่ต้นทุนเฉลี่ยเราอยู่ที่ 10.88 บาท (ขาดทุน) หากเกิดราคาอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานานมากๆ ควรจะควบคุมจิตใจให้ดีครับ ถ้าเลือกถูกตัวแล้ว ไม่ต้องขายครับ

แต่สุดท้ายหากตลาดกลับมาเป็นปกติแล้ว เราก็ยังจะมีโอกาสชนะตลาดอยู่ครับ

ข้อดีของเทคนิค DCA นี้ก็คือ เราจะไม่ต้องปวดหัวกับราคาที่ผันผวน เราจะมีหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน สะสมไปเรื่อยๆ และหากเป็นราคาช่วงขาขึ้นต้นทุนที่เกิดขึ้นจะเป็นต้นทุนเฉลี่ย พอที่จะชนะตลาดได้ หากเป็นราคาช่วงขาลงการใช้เทคนิคนี้จะทำให้ขาดทุนได้น้อยกว่า การลงทุนจำนวนเงินมากๆในครั้งเดียว  อีกข้อที่สำคัญก็คือ สร้างความมีวินัยในการลงทุนให้เราได้จริงๆครับ

เทคนิคการลงทุนแบบ DCA นี้สามารถใช้ได้กับทั้ง หุ้น และ กองทุนรวม ครับ เลือกที่เหมาะสม และที่เราเข้าใจมากที่สุด เพื่อปิดความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่รู้ของเราครับ

Note:เทคนิคการลงทุนแบบ DCA นั้นคุณผู้อ่านจำเป็นต้องเลือกลงทุนในหน่วยลงทุนที่มีคุณภาพ ถ้าหากพูดในมุมมองของหุ้น คือ คุณจะต้องเลือกเป็นเจ้าของธุรกิจที่ มีการบริหารที่ดี มีกำไร และเติบโตอยู่เสมอ เพราะจะทำให้คุณมั่นใจได้ส่วนหนึ่ง ว่าเราน่าจะสามารถโตไปกับบริษัท หรือ กองทุนที่เราเข้าไปลงทุนได้ครับ

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

6 สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนการลงทุน

ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ผมมีข้อแนะนำในแบบฉบับของผม ดังนี้ครับ

1. เตรียมเงินสำรองในกรณีฉุกเฉินก่อน

จากที่เคยเขียนไว้ในเรื่องการออมเงินครับ เราควรจะมีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินอย่างน้อยต้องเท่ากับ 6 เท่า ของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เสมือนการเตรียมแผนสำรอง เมื่อเกิดเหตุที่จำเป็นต้องใช้เงิน จะได้ไม่ต้องดึงเงินที่เราลงทุนไปแล้วออกมาใช้ก่อน เพราะเสี่ยงต่อการขาดทุนมากกว่า

2. ใช้เงินเย็นในการลงทุน 

เหตุผลคล้ายกับข้อแรกครับ การลงทุนระยะยาวมากๆ ความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนก็จะลดลงไปมาก ฉะนั้น เงินที่ใช้ลงทุนควรเป็นเงินเย็น เงินที่เราไม่จำเป็นต้องนำมาใช้อะไรเลย นอกจากการลงทุนครับ

3. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนให้มาก และเพิ่มพูนความรู้นั้นอย่างสม่ำเสมอ

เราสามารถจำกัดความเสี่ยงของการลงทุนได้ด้วย การเพิ่มความรู้ในการลงทุนให้กับตัวเราก่อนที่จะลงทุน เหมือนกับคำพูดของ Warren Buffet ที่ว่า "Risk comes from not knowing what you're doing." หรือ "ความเสี่ยงมาจากการที่ไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร" ฉะนั้น ไม่อยากเสี่ยง หรือไม่อยากเจ๊ง ก็ต้องเพิ่มความรู้ไว้ก่อนนะครับ อย่างน้อย ควรจะรู้วิธีเลือกหุ้นตัวไหน หรือกองทุนไหนมาเข้าพอร์ตดี

4. ต้องรู้ถึงความเสี่ยงที่สามารถรับได้

ก่อนที่จะเปิดพอร์ตการลงทุน จะมีการประเมินความเสี่ยง ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด และจะจำกัดให้คุณลงทุนในสินทรัพย์ได้ไม่เกินความเสี่ยงที่คุณรับได้ หากการลงทุนมีความเสี่ยงมากเกินไป แนะนำให้ฝากประจำดอกเบี้ยสูงแทนครับ (จะปลอดภาษีก็ดีครับ)

5. กำหนดจุดประสงค์ของการลงทุนของคุณ

จุดประสงค์ของการลงทุน จะทำให้การเลือกลงทุน เหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น เพื่อสร้างรายได้ให้เราในอนาคต ,เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติ หรือ เป็นที่พักเงินที่ดีกว่าฝากธนาคาร ,เพื่อลดหย่อนภาษี เป็นต้น ไม่ใช่ว่า "เพื่อสร้างรายได้ให้เราในอนาคต" พอเห็นราคาขึ้นปุ๊ปขายทันที อันนี้ผมว่าผิดจุดประสงค์แล้วครับ ฮ่าๆ

6. มีเวลาติดตามผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

การติดตามผลการลงทุน เหมือนกับการตรวจสุขภาพพอร์ตการลงทุนของเราครับ ว่ายังมีสุขภาพที่ดีอยู่ไม่ ผลตอบแทนยังมีแนวโน้มเป็นไปตามที่คาดหวังอยู่ไหม กำหนดระยะเวลาให้เหมาะสมกับ สินทรัพย์ที่เลือกลงทุนไปด้วยครับ เช่น ลงทุนในหุ้น อาจจะตามผลจากงบการเงิน รายไตรมาส เป็นต้นครับ

"การลงทุนควรอยู่ในกรอบที่เราสามารถควบคุมได้ พยายามปิดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นออกไปให้ได้มากที่สุด ทำตามจุดประสงค์ของการลงทุน และติดตามผลงานอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นได้ขนาดนี้ ความสำเร็จของเราก็อยู่ไม่ไกลจนเกินไปครับ"

วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ข้อเสียในการเก็บเงินออมเพียงอย่างเดียว (อ่าว? เก็บเงินแล้วยังจะมีข้อเสียอีกหรอ)

ท่านผู้อ่านเห็นหัวข้อแล้วอาจจะสงสัยครับ ทำไมการออมเงินเพียงอย่างเดียวถึงมีข้อเสีย เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ครับ แต่ยืนยันได้เลยว่า เสียน้อยกว่าคนที่ไม่เก็บออมเงินเลย


ขอทบทวนพื้นฐาน หรือหลักการที่เราควรจะมีในการเก็บออม


  1. มีวินัยในการเก็บเงิน แบ่งเงินเดือน หรือรายได้ต่อเดือน มาเก็บสักส่วนหนึ่ง สัก 10-20% ของเงินเดือนหรือรายได้ต่อเดือน ก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย  เป็นประจำทุกๆเดือน จะมากกว่านี้ก็ยินดีครับ :D
  2. ควรจะเก็บออมเงินให้ได้ อย่างน้อยเป็น 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน เช่น รายจ่ายต่อเดือน 12,000 บาท ควรเก็บให้ได้ 72,000 บาท (12,000 x 6)  เพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน หรือตกงานได้ 6 เดือน จะเรียกว่าก๊อกสองก็ได้ครับ 

ข้อเสียของการเก็บเงินออมเพียงอย่างเดียว

มีสาเหตุมาจาก "เงินเฟ้อ" (Inflation) ครับ เงินเฟ้อเป็นอันตรายต่อเงินที่ออมไว้เฉยๆ มากๆครับ ซึ่งประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อ ประมาณ 3-4 % ต่อปี 

แล้วเงินเฟ้อเกี่ยวอะไรกับเงินออมด้วย ? 

ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพสักนิดนะครับ ว่าเงินเฟ้อเป็นตัวอันตรายกับเงินออมของเราอย่างไร



ลองสังเกตุราคาสินค้ารอบๆตัวเราตั้งแต่สมัยเรียนจนทำงานจนปัจจุบัน ราคาแพงขึ้นทุกอย่างใช่ไหมครับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเงินเฟ้อครับ 

จากผลกรรมของเงินเฟ้อ ที่ทำให้มูลค่าเงิน ของเราลดลง ถ้าเราไม่เก็บเงินฝากเข้าธนาคาร เราก็จะได้รับผลของเงินเฟ้อเต็มๆ 3-4% (แต่ละปีไม่เท่ากัน) ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ณ ปัจจุบันนี้ ยังไม่ชนะเงินเฟ้อได้ครับ 

ex. ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ = 3.5% ต่อปี อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4% ต่อปี ถ้าเรานำเงิน 100 บาท ไปฝากประจำ 1 ปี มูลค่าของเงิน จะลดลงไป 0.5% (3.5% - 4%) ต่อปี เป็น 99.50 บาท

ผมจะเน้นว่ามูลค่าของเงิน (Value) นะครับ ถ้าจะให้ดู จำนวนเงิน (Amount) เราก็ยังเห็นว่ามันก็เท่าเดิมนั่นแหละ

ตอนนี้น่าจะเห็นภาพคร่าวๆ เกี่ยวกับเงินเฟ้อที่มีผลกับเงินของเราแล้วนะครับ ซึ่งเราสามารถปิดข้อเสียของเงินเฟ้อนี้ได้ โดย การลงทุน ครั้งหน้าจะบอกวิธีการลงทุนเพื่อให้ชนะเงินเฟ้อและเพิ่มมูลค่าให้กับเงินของเราครับ

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

วางแผนการเงินของเราไปทำไม

ทำไมเราต้องวางแผนการเงินของเราเอง


"เงินซื้อชีวิตไม่ได้ แต่ทั้งชีวิตต้องใช้เงิน"

ตั้งแต่ผมเริ่มศึกษาเรื่อง การเงิน การลงทุน แทบทุกที่ จะเน้นเรื่อง การจัดการวางแผนการเงินของตัวเองให้ดีเสียก่อน (ผมขออนุญาติตัดประเด็นเรื่องการลงทุนไปก่อนนะครับ ขอแค่เรื่องการดำเนินชีวิตอย่างเดียวเลย)

ทำไมต้องวางแผนการเงินของเราให้ดีเสียก่อน ก็เพราะว่า เพื่ออนาคตครับ ช่วงเวลาที่เรามีความสามารถในการหารายได้ เราหาได้น้อยกว่าที่จะต้องใช้ตลอดชีวิตครับ


  • อายุ 0-22 ปีช่วงแรกเกิด ถึง เรียนจบ ใช้เวลา 22 ปี ยังไม่ต้องหาเงินเอง ใช้เงินพ่อ-แม่
  • อายุ 22-60 ปี ช่วงที่เริ่มต้น ทำงาน ถึง เกษียณอายุ 38 ปี ช่วงนี้เราสามารถหารายได้ได้มากที่สุด คนที่ไม่ได้วางแผนอะไร ก็อาจจะ ใช้จ่ายซื้อของที่อยากได้โดยไม่ได้เป็นของที่จำเป็น ,ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ,หมดก็หยิบยืมคนใกล้ตัว (อาจจะได้เงิน แต่เสียเพื่อนก็ได้)
  • อายุ 60-80 ปี (ประมาณสัก 20 ปี) ก็ไม่น่าจะได้ทำงานแล้วครับ ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ไม่ได้เป็น ผู้บริหารอะไร บริษัทไม่ค่อยอยากจ้างครับ ไม่มีไฟ แถมยังค่าตัวสูงอีก ส่วนใหญ่ก็อยู่บ้านเฉยๆ แล้ว อายุ 60ปี ขึ้นไป แวะเข้า-ออก โรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แทบจะสนิทกับหมอกันเลยทีเดียว แถมค่าใช้จ่าย ในโรงพยาบาล แพงขึ้นทุกๆปี


ช่วงเวลาที่หาเงิน 38 ปี ตอนนี้ เหลือกี่ปี กันแล้วครับ ??

แล้วในเวลาที่เหลือ จนกว่าจะอายุ 60 ปี นี้คุณเริ่มวางแผนทางการเงินไว้บ้างหรือยังครับ ,เริ่มเก็บออมบ้างหรือยัง หรือจะเริ่มทำบัญชีรายรับ-จ่าย ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ

แปลกมากครับ การวางแผนการเงิน และทำตามแผนที่วางไว้ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องยาก ถ้ายากจริงๆ ทำไมหลายๆคนยังทำได้ เผลอๆ น้องๆนักศึกษาบางคนก็ทำงาน หาเงิน เริ่มเก็บออม เริ่มลงทุนก็มีครับ

หากมีเวลาว่างลองกลับไปดู ใน 4 Part ที่ผมเคยเขียนไว้ สาเหตุของปัญหาการเงินของแต่ละคน แก้ไขได้ไม่ยาก "ถ้าคุณตั้งใจที่จะทำมันจริงๆ" ที่คุณเรียนจบ ก็ต้องตั้งใจเรียน จนจบมาได้ เรื่องนี้ก็ไม่ยากไปกว่ากันครับ เพียงเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ มันไม่กี่ปี ต่างกับ ชีวิตที่เหลือของคุณมากครับ คุณต้องตั้งใจให้มากกว่าตอนเรียนซะอีก

การเก็บเงินเผื่อเกษียณ หรือ เผื่ออนาคตไม่ใช่เรื่องของคนอายุมากๆ ใกล้ๆเกษียณแล้วค่อยเตรียมเงิน ใครจะไปเตรียมทันครับ มันต้องค่อยๆเตรียมไปเรื่อยๆ เตรียมไปตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆสร้างไปตั้งแต่เราเริ่มทำงานนี่แหละครับ หรือจะเก็บเงินเพื่อเป้าหมายอื่นๆก็ไม่ว่ากันครับ แต่ก็ต้องมีเป้าหมาย และระยะเวลาที่ชัดเจน และเป็นไปได้ด้วยครับ

ประเด็นคือ ไม่เก็บออม ใช้เงินอนาคต หยิบยืมคนใกล้ชิด แล้วยังคิดไม่ได้ว่า เราใช้เงินเกินตัวซะด้วยนะ เป็็นซะอย่างนั้น บางเดือนเงินเหลือ 500-1000 ก็เก็บครับ เก็บไปใช้เดือนหน้านะครับ ไม่ได้เอาไปเก็บออม ( = =") แต่แผนการเงินส่วนตัวของคุณช่วยได้ครับ วางแผนให้ดี และนำไปใช้อย่างมีวินัยครับ

ลองเก็บไปคิดกันอย่างจริงจัง เป็นการบ้านครับ เราจะต้องใช้เงินต่อเดือนเท่าไร? ในช่วงอายุ 60 ปี ถึง 80 ปี (ผมก็ไม่รู้ว่าเผื่ออายุพอหรือไม่ครับ ไม่ใช่เผื่อไว้ 20 ปี แล้วอยู่ได้อีก 30 ปี งานเข้าเลย) แล้วอยู่อย่างสุขสบาย (จะเผื่อเข้าโรงพยาบาล หรือไม่เผื่อก็ได้ครับ จะได้คิดง่ายๆ) เอาเงินที่ประมาณไว้  x 240 เดือน ดูว่า ควรจะต้องเตรียมเงินไว้เท่าไร เมื่อเราอายุ 60 และน่าจะอยู่ต่อไปได้อีก 20 ปี

อาจจะอึ้งกับตัวเลขนิดนึงนะครับ ฮ่าๆๆ ตัวเลขที่คิดมานี้เป็นค่าเบื้องต้นนะครับ ไม่ได้คิดอัตราเงินเฟ้อ ที่ทำให้มูลค่าของเงินของคุณลดลงทุกๆปี

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต กรณีเลือกชำระไม่เต็มจำนวน

เมื่อ Part 4 ผมทิ้งไว้ว่าจะหาวิธีคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตมาให้ เชิญชมได้เลยครับ :D

ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต กรณีเลือกชำระไม่เต็มจำนวน


อัตราดอกบี้ย 20%
วันสรุปยอด 20 เม.ย. 15
วันครบกำหนดชำระ 6 พ.ค. 15
ยอดที่ใช้จ่าย 20,000.00 บาท
วันที่เกิดยอด 13 เม.ย. 15 (วันที่รูดซื้อของ)

สมมุติเลือกจ่ายเพียงขั้นต่ำ คือ 10% ของยอดที่ใช้ไป = 2,000 บาท

ยอดชำระงวดแรก (ยอดที่ใช้จ่าย x 10%) = 2,000 บาท

งวดแรกชิลๆมากครับ รอดูงวดต่อๆไป
#########################################################################

ยอดชำระงวด 2 มี 2 ส่วน

1.) ตั้งแต่ 13 เม.ย. 2558 ถึง 05 พ.ค. 2558 (23 วัน)
ดอกเบี้ย(1)  = ยอดที่ใช้จ่าย x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนวัน(ตั้งแต่วันที่รูดจ่าย ถึง วันก่อนชำระ 1 วัน)/จำนวนวันในปี

ดอกเบี้ย(1) = 20,000 x 20% x 23 วัน / 365 วัน =  252.0547945 บาท
--------------------------------------------------------------------------------
2.) ตั้งแต่ 06 พ.ค. 2558 ถึง 20 พ.ค. 2558 (15 วัน)
ดอกเบี้ย(2) = ยอดหนี้ที่เหลือ x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนวัน(ตั้งแต่วันครบกำหนดชำระ ถึง วันสรุปยอดในเดือนนั้น) /จำนวนวันในปี

ดอกเบี้ย(2) = 18,000 x 20% x 15 วัน / 365 วัน = 147.95 บาท

ดอกเบี้ยงวด 2 = 400.00 รวมหนี้คงเหลือ = 18,400.00  ครบกำหนดชำระ 6 มิ.ย. 2015

สมมุติว่า งวด 2 เคลียร์หนี้จนหมด 18,400 บาท แต่การคิดดอกเบี้ยยังไม่จบนะครับ 
#########################################################################

ยอดชำระงวด 3

สมมุติว่าจ่าย 18,400 (เคลียร์หนี้ทั้งหมดในวันที่ 6 มิ.ย. 2558 ที่ผานมา) แต่ยังมีดอกเบี้ยในช่วง 21 พ.ค. 2558 ถึง 5 มิ.ย. 2558 (16 วัน)

ดอกเบี้ย = ยอดหนี้ที่เหลือ x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนวัน(วันหลังจากวันสรุปยอด ถึง วันก่อนชำระ 1 วัน) / จำนวนวันในปี

ดอกเบี้ย = 18,000 x 20% x 16 วัน / 365 วัน = 157.8082192 บาท

ต้องชำระดอกเบี้ยที่เหลืออีก 157.80822 บาท กำหนดชำระ วันที่ 6 ก.ค. 2558

ยอด 20,000 บาท ผ่านไป 3 เดือน ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย 560 บาท โดยประมาณ 

ผมไม่อยากจะคิดเลยครับว่า ถ้าเราชำระหนี้ด้วยการ จ่ายแค่ขั้นต่ำไปเรื่อยๆ เมื่อไรหนี้จะหมด เจออิทธิฤทธิ์ดอกทบต้น ทบแล้ว ทบอีก หลายปีครับกว่าจะหมด

ดังนั้น ถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิต ต้องรีบชำระให้หมด 

มีข้อแนะนำอีกนิดนึงครับ  เคสนี้ผมได้ยินมาจากรายการ โทรทัศน์รายการหนึ่งครับ หากยอดที่ต้องชำระมีเศษสตางค์ (รอบสุดท้าย) ให้ชำระเกินไป 1 บาทเลยครับ จะได้ไม่มียอดคงเหลือเป็นเศษสตางค์ แล้วดอกเบี้ยก็ยังคงเดินอยู่นะครับ แล้วจะมีจดหมายลึกลับจากศาลส่งมาที่บ้าน เพราะ เราไม่ไปชำระหนี้ธนาคาร ถ้าเจอแบบนี้ ให้ตรวจสอบและชำระหนี้ให้ถูกต้องนะครับ มิฉะนั้นจะทำให้ ประวัติ เครดิต บูโร ของคุณด่างพล้อยเลยนะครับ :D

วิธีสร้างวินัยการออมเงิน ด้วยการฝากประจำ

เริ่มสร้างวินัยการออมง่ายๆ ด้วยการฝากประจำครับ


การฝากประจำ สร้างวินัยการออมเงินได้อย่างไร

การฝากประจำของธนาคารแต่ละแห่ง มีกฏพื้นฐานอยู่ 3 ข้อ
  1. ฝากด้วยจำนวนเงินเท่ากัน ทุกๆเดือน ตามแต่ตกลงกับธนาคาร เช่น เดือนละ 5,000 บาท เป็นต้น
  2. ห้ามถอนออกมาใช้ก่อน จริงๆแล้วถอนออกมาก่อนได้ครับ แต่ว่า อัตราดอกเบี้ยจะเป็นอัตราออมทรัพย์แทน ซึ่งแต่ละธนาคารอาจจะให้ไม่เท่ากัน ดูอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ได้ที่นี่ หรือ อาจจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของธนาคารเช่นกันครับ
  3. การนำเงินเข้าไปฝาก อาจจะมีกำหนดระยะเวลา เช่น ไม่เกินวันที่ 5 ของเดือน แล้วแต่นโยบายของธนาคาร

ต้องเริ่มต้นอย่างไร

  1. หาข้อมูลการฝากประจำของแต่ละธนาคารก่อนครับ มีด้วยกัน 2 วิธี
    1. หาข้อมูลตามเว็บไซต์ของแต่ละ ธนาคาร ข้อนี้อาจจะใช้เวลามากสักนิดนึงครับ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากพอที่จะเลือกวี่าจะฝากกับธนาคารไหน
    2. หาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเงินฝากไว้ให้แล้ว เช่น http://www.wealthmagik.com/Deposit/DepositList.aspx (ผมขอยกตัวอย่างจากวิธีนี้นะครับ)
  2. เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ให้พิจารณาจาก อัตราดอกเบี้ย ,จำนวนเดือนที่ต้องฝาก ,ยอดขั้นต่ำที่ต้องฝาก ,ภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ ,กฏข้อบังคับต่างๆ ให้เข้ากับที่เราต้องการมากที่สุดครับ
  3. เมื่อเลือกได้แล้วว่าเราต้องการฝากประจำ ธนาคารไหน ,ชื่อโครงการอะไร (คล้ายๆชื่อโปรโมชั่นโทรศัพท์มือถืออะครับ) ให้ติดต่อสอบถาม ธนาคารถึงรายละเอียดต่างๆ เพื่อยืนยันข้อมูลอีกที อีกอย่าง บางโครงการมี ระยะเวลาสิ้นสุดครับ ให้ถามข้อมูลส่วนนี้ด้วยครับ
เพิ่มเติมเรื่องภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ บางโครงการปลอดภาษีครับ ก็คือได้ดอกเบี้ยตามที่ประกาศไว้ ไม่มีหักภาษีครับ ส่วนโครงการที่ไม่ปลอดภาษี จะต้องเสียภาษี 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครับ แล้วจะหาข้อมูลมาให้นะครับ

เริ่มต้นหาข้อมูลกันเลยครับ

1. ผมเข้าไปที่เว็บไซต์  http://www.wealthmagik.com/Deposit/DepositList.aspx เลื่อนลงมาด้านล่างครับจะมีข้อมูลเงินฝาก ตามรูปภาพนะครับ

  1. สามารถเลือกเงื่อนไข เพื่อกรองข้อมูลตาม ระยะเวลาฝาก ที่เราต้องการครับ
  2. สามารถเลือกแต่ละโครงการเพื่อนำมาเปรียบเทียบได้ด้วยครับ 
  3. สังเกตตรงชื่อโครงการจะมีตัวหนังสือสีแดง บอกว่า (ปิดโครงการแล้ว) อันนี้ก็จะเปิดบัญชีฝากไม่ได้แล้วครับ
2. ขอยกตัวอย่าง 7-12 เดือนนะครับ
  1. ส่วนหัวตารางในแต่ละ คอลัมน์ จะสามารถคลิกเพื่อ เรียงลำดับได้ครับ เช่นในรูปภาพผมเรียงตาม อัตราดอกเบี้ย มากที่สุดขึ้นมากก่อน
  2. ส่วนที่ 2 ที่นำมาพิจารณาต่อก็คือ จำนวนเงินขั้นต่ำ
3. สมมุติผมเลือก ฝากประจำพิเศษ 11 เดือน ของธนาคารเกียรตินาคิน (ไม่ได้ค่าสปอนเซอร์นะครับ ฮ่าๆ) ที่เลือกอันนี้เพราะว่า 
  • ดอกเบี้ยถือว่าสูงพอสมควร 3.15% (อย่าลืมติดต่อธนาคารเพื่อยืนยันอีกรอบนะครับ) 
  • จำนวนเงินฝากขั้นต่ำ 5,000 บาทต่อเดือน สำหรับผมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ถ้าต้องฝาก 10,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อาจจะไม่พอค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมครับ

ลองคลิกเข้าไปดูรายละเอียดของโครงการ คลิกที่ชื่อโครงการได้เลยครับ

4. เมื่อเราพิจารณารายละเอียดแล้ว พอใจกับอัตราดอกเบี้ย , ระยะเวลาฝาก , จำนวนเงินเงินฝากขั้นต่ำ แล้ว ติดต่อธนาคารเพื่อยืนยันข้อมูลที่มีอีกทีครับ เมื่อยืนยันข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปเปิดบัญชีฝากประจำของเรา ได้เลยครับ

ข้อแนะนำสำหรับอยากเริ่มต้นฝากประจำ แต่ยังไม่สามารถฝากด้วยจำนวนเงินมากๆได้

  1. ให้ค้นหาจากการฝากประจำ "ทั้งหมด" ครับ 
  2. คลิกหัวตาราง ที่คอลัมนน์ "จำนวนเงินฝากขั้นต่ำ (บาท)" แบบเรียงจากน้อยไปมากครับ ทีนี้ก็จะสามารถหา โครงการที่ฝากประจำ จำนวนเงินฝากต่อเดือนที่เราสามารถฝากได้ ได้แล้วครับ

การสร้างความมีวินัยด้วยการฝากประจำก็เป็นอีกวิธีที่ดีครับ เป็นการบังคับให้เราเก็บเงินไปในตัว เมื่อถึงวันครบกำหนด จะเห็นเงินก้อนก้อนนึงที่เราเก็บด้วยน้ำพักน้ำแรงเราเอง มันจะทำให้เรามีความภูมิใจ และความมีวินัยก็จะเริ่มติดตัวเราไปแล้วครับ