คนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับ Technology ซึ่งต้องการความรวดเร็ว ไม่ชอบทำอะไรที่ช้าๆ นานๆ ผมว่าด้วยเหตุนี้ Gen Y จึงมีจุดอ่อนก็คือ ความอดทนน้อย
ยกตัวอย่างเช่น อยากประสบความสำเร็จเร็วๆ อยากรวยเร็วๆ แบบที่ไม่ต้องเรียนรู้มาก อยากได้เงินเดือนเยอะๆ โดยที่ประสบการณ์ยังน้อย ความอดทนต่ำในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
จากตัวอย่างแต่ละข้อที่กล่าวมา คน Gen Y
ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเบื่องานได้ง่าย เปลี่ยนงานบ่อยๆ (จุดประสงค์อาจจะทั้งเบื่อและ เงินเดือนได้เพิ่มขึ้น) ทำงานจะให้เสร็จๆไปโดยเร็ว ขาดความละเอียดรอบครอบ ความผิดพลาดในงานก็มีสูง ทำให้องค์กรเสียหายได้ (อย่างน้อยก็ต้นทุนเรื่องเวลา)
จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น พร้อมกับเบื่องานแล้ว เลยหนีดีกว่า บางคนก็จะออกไปทำธุรกิจส่วนตัวบ้าง หรือบางคนก็ออกมา full time trader หรือเป็นนักเล่นหุ้นแบบเต็มเวลา หรือ สรุปง่ายๆว่า ทำไงก็ได้ให้เป็นเจ้านายตัวเอง หรือ ไม่ต้องมีคนมาคอยควบคุม และต้องการหาเงินแบบง่ายๆไปพร้อมๆกัน
ฟังดูเหมือนน่าจะง่ายๆไม่มีอะไร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจก็ทำได้ มีเงินทุนแล้ว อยากนั่งเล่นหุ้นอยู่บ้านก้ได้ มีเงินทุนแล้ว อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น การที่มีเงินทุนเป็นใบเบิกทางอยู่แล้วมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่าานั้น
ขอยกตัวอย่างฝั่งธุรกิจครับ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ถ้ามีแค่เงินก็สามารถทำได้สำเร็จแล้วผมว่าไม่ใช่ครับ สมมุติว่าร้านกาแฟบูมมาก ใครๆก็เปิดร้านกาแฟ มีเงินเพียงพอก็เปิดได้ เลยจะเปิดร้านกาแฟบ้าง
คิดแบบนี้ก็แย่แล้วครับ เพราะว่าคิดจะกระโดดเข้าไปในธุรกิจที่การแข่งขันสูงแบบนั้น เพราะใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าประสบการณ์น้อย เงินทุนมีไม่เยอะพอ เลือกทำเลไม่เป็น การตลาดก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีอะไรแปลกแตกต่าง ร้านกาแฟคุณจะไปรอดมั้ยครับ และการจะเปิดร้านอาหารหรือสินค้าที่เป็นของกินแบบนี้ คุณต้องมีความพิถีพิถันในการทำนะครับ จะไว้ใจลูกจ้างชงกาแฟรสชาติไม่คงที่ เพื่อแลกกับเงินที่ลูกค้ายอมจ่ายมา ก็อาจจะไม่คุ้มค่า เพราะไม่อร่อยใครจะมาซื้อซ้ำอีกล่ะครับ ยิ่งข่าวร้ายดังกว่าไปไวกว่าข่าวดี ทีนี้เป็น viral marketing เลย ร้านนี้ไม่อร่อยเลยอะ ลูกค้าหายกำไรหด ฉะนั้นอย่างน้อย ถ้าจะเปิดร้านอะไร คุณก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นมากๆ
แม้แต่การจ้างบาริสต้าเก่งๆมาประจำร้านเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ถ้าบาริสต้าคนนั้นลาออกไป หรือโดนร้านอื่นในละแวกนั้นซื้อตัวไป ร้านคุณจะทำยังไงดีครับ
ส่วนที่นั่งเล่นหุ้นอยู่บ้าน อันนี้ความเสี่ยงอยู่ที่ความไม่รู้ หรือ ความรู้และประสบการณ์น้อย เช่นกันครับ หากเล่นหุ้นตามข่าว คุณก็จะไม่มีวันชนะใครเลย เพราะคุณรู้ข่าว คนอื่นเค้าก็รู้ด้วย (ยกเว้นวงใน 555 ถ้ามีเพื่อนสนิทอยู่วงในก็แล้วไป)
แต่ถ้าคุณบอกจะเล่นแบบเทคนิค วิเคราะห์กราฟ ก็ต้องไปหาความรู้ซะก่อนว่า ตอนไหนต้องซื้อ ตอนไหนต้องขาย ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คิด คุณกล้า Cut Loss ใช่มั้ย เพราะมีคนที่ต้องเอาเงินไปจมกับหุ้นติดดอยสูงๆ เนื่องจากไม่ยอม Cut Loss นี่แหละครับ ผลสุดท้ายก็จำใจเป็นนักลงทุนหุ้นเน่าระยะยาว ฮ่าๆ เพราะเล่นแบบเทคนิค แล้วไม่ได้สนใจพื้นฐานของหุ้น ขอเพียงแต่ให้ราคามันวิ่ง ก็จะได้ถือหุ้นเน่าๆแบบนี้แหละครับ
ผมอาจจะยกตัวอย่างได้ไม่หมดทุกมุมมอง แต่ก็พอจะเห็นได้ว่า การที่จะเป็นนายตัวเองนั้นไม่ได้ง่าย สวยหรูตามที่เราคิดไวเสมอไปนะครับ เพราะมันเต็มไปด้วย อุปสรรคมากมาย ความเสี่ยงหลายๆด้าน และความอดทนที่ต้องมีมากๆ อดทนที่จะฟันฝ่าอุปสรรค อดทนที่จะเรียนรู้ อดทนเพื่อความสำเร็จ
ดังนั้นแล้ว ถ้าผมอยากจะแนะนำก็คือ ถ้าหาตัวเองเจอแล้วว่าคุณอยากจะทำอะไร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจอะไร ลองไปเป็นลูกจ้าง ในธุรกิจนั้นๆก่อนครับ ไปเป็นเพื่อให้รู้ว่า ธุรกิจนี้ทำงานกันยังไง เขาเจอปัญหาอะไรบ้าง ลองช่วยคิดและเสนอวิธีแก้ปัญหา ในวันนึงที่คุณคิดว่า มีความรู้และประสบการณ์มากพอแล้ว คุณจะออกมาลองเปิดธุรกิจนั้นๆดูบ้าง ก็คงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าทำไปแบบไม่มีความรู้อะไรเลย จริงไหมครับ
"คงไม่มีคนไหนที่จะประสบความสำเร็จง่ายๆ โดยที่เขาไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย"
เพื่อนผมอยู่วงใน www.wongnai.com แบบนี้ได้มั้ยครับ
ตอบลบหมายถึง ข่าววงในของหุ้นนะครับ
ลบฮาเลย