วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ลงทุนหุ้นแบบ VI เป็นอย่างไร?

ขออภัยที่ช่วงก่อนหน้านี้หายไปนานครับ ติดภาระกิจงานประจำอันหนักหน่วง ฮ่าๆ เอาเป็นว่าจะกลับมาทยอยชดเชยความรู้ให้นะครับ

ลงทุนหุ้นแบบ VI เป็นอย่างไร?

นักลงทุนที่พึ่งเข้าตลาดมาใหม่ คงได้ยินคำว่า VI ได้บ่อยๆนะครับ (ผมขอแชร์ประสบการณ์ของผมนะครับ)

     VI หรือ Value Investment คือ การลงทุนโดยสนใจในมูลค่าของธุรกิจนั้นๆเป็นหลัก โดยตัวมูลค่าของธุรกิจนั้นๆ เราสามารถหาได้จากงบการเงิน (งบดุล งบกำไรขาดทุน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ งบกระแสเงินสด เยอะไปนะ =_=)
   
     แต่อันที่จริงแล้ว ผมจะไม่สนใจตัวเลขมากมายขนาดนั้น อาจจะหามูลค่าเหมาะสมจาก PE (Price to Earning) หรือ PBV (Price to Book Value) แทนก็ยังได้ครับ ทั้ง 2 ตัวนี้ มีบอกในเว็บของตลาดหลักทรัพย์

     ค่า PE จะตีความได้ว่า อีกประมาณกี่ปีจะคืนทุนให้เรา เช่น PE = 10 ก็คืออีก 10 ปี ถึงจะคืนทุนให้เราครับ
    ค่า PBV จะบอกถึงราคานั้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของกิจการ อยู่เท่าไร เช่น PBV = 1 แสดงว่า ราคาที่เราซื้อก็ได้เท่าๆกับมูลค่าทางบัญชี แต่ส่วนใหญ่ ธุรกิจดีๆ ราคามักจะเกิน มูลค่าทางบัญชีไปเยอะแล้วครับ

     ปัญหาคือ ค่า E (EPS กำไรต่อหุ้น) และ BV (Book Value มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เป็นค่าที่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต (งบปีล่าสุด) ดังนั้น ค่า PE และ PBV ในเว็บก็จะเป็นค่าที่คำนวณจาก ราคาปิดล่าสุด หารด้วย E หรือ BV ของงบปีล่าสุด ซึ่งดูจะล่าช้าเกินไป

     วิธีแก้(ของผมนะ) ลองหาข้อมูลย้อนหลังกลับไปให้ได้มากที่สุดครับ (เกิน 10ปี จะดีมาก เพราะว่าธุรกิจนั้นผ่านมาครบ 1 วงจรเศรษฐกิจ จะผ่านมาทุกเหตุการณ์ ดี ร้าย น้ำท่วม ม๊อบ ฯลฯ) แล้วลองดูค่า E หรือ EPS (ตัวเดียวกันนะ) ที่ผ่านมา มาอัตราการเติบโตเป็นอย่างไร
    จากนั้นก็ลองประเมินดูว่าปีนี้จะสามารถทำได้แค่ไหน ซึ่งมันจะค่อยๆเฉลยออกมา ทีละไตรมาสล่าสุดครับ

    การประเมิน อาจจะยากสักหน่อย ดังนั้น การลงทุนแบบ VI จึงควรลงทุนในธุรกิจที่เรารู้จักดี เราใช้บริการบ่อยๆ เรามีความรู้จักคุ้นเคย ในสินค้า หรือ บริการธุรกิจนั้นๆ พร้อมกับติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ ในประเทศนอกประเทศ เพื่อดูสภาพแวดล้อม และในมาประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจนั้นๆว่า ไปได้อย่างสวยๆ หรือไปได้อย่างฝืดๆ หรือจะไปไม่รอด สิ่งเหล่านี้นักลงทุนแนว VI ก็ควรจะทำได้ครับ

     หากเราประเมินออกมาแล้วว่า กำไรต่อหุ้น ในอนาคตน่าจะอยู่สักเท่าไร ลองเอามา x กับค่า PE ที่ได้จากเว็บตลาดหลักทรัพย์ดูครับ ค่าที่ออกมาจะเป็นราคาในอนาคต (ความแม่นขึ้นอยู่กับความสามารถในการประเมินนะครับ)

     หรือวิธีข้างต้นยากไป ก็ดู PE ล่าสุดนี่แหละครับมีค่าเท่าไร เรายอมรับได้มากสุดที่กี่ปีคืนทุน เช่น อยากได้ 1 ปีคืนทุนเลย ก็รอดูค่า PE = 1 ก็ซื้อมันตอนนั้นครับ (ไม่วิกฤตรุนแรงจริงๆ ผมว่ายากมาก ที่จะได้ PE ต่ำๆ) ช่วงที่รอราคาลงก็เก็บเงินเข้าพอร์ต หรือเอาไปฝากไม่ประจำรับดอกเบี้ยไปก่อนก้ได้ครับ

     แต่!!! ขอเตือนตัวใหญ่ๆครับ การประเมินพวกนี้ ควรจะดูพื้นฐานของธุรกิจให้ออกก่อนนะครับว่า ธุรกิจนั้นดีจริงๆมั้ย หรือดีแค่ช่วงนี้ ความสามารถในการทำกำไรในอนาคต ยั่งยืนหรือไม่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องซีเรียสครับ ไม่งั้นคุณจะเสี่ยงไปหาหุ้น PE ต่ำๆ แต่จริงๆแล้วต่ำเพราะว่า ที่ผ่านทำกำไรสู้คู่แข่งไม่ได้ อันนี้จะเงิบนะครับ

     ยังจำวิธีการลงทุนด้วย DCA ได้มั้ยครับ VI จะต่างกันอยู่ตรงที่ VI รอให้ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่คิดได้ แล้วค่อยซื้อครับ ต่างจาก DCA ที่ดู ok หุ้นนี้ดี ซื้อเก็บทุกๆเดือน ด้วยเงินเท่าๆกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับว่าชอบแบบไหน ถูกใจแบบไหน ก็ใช้วิธีลงทุนแบบนั้นไปครับ

     ปล. อย่าลืมตามมากด Like ที่เพจ https://www.facebook.com/WealthyStoryTH ด้วยนะครับ ส่วนใหญ่ในเพจผมใจโพสข้อความเล็กๆน้อยๆ ทั้งเรื่องเงิน และเรื่องพัฒนาตนเองครับ ใครสนใจกด Like รอไว้ได้เลยครับ
     ปล2. มีข้อสงสัยส่ง Inbox ใน page มาถาม ได้เลยนะครับ ในนั้นผมจะตอบได้เร็วกว่า :D

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลักษณะของคนที่มักจะประสบความสำเร็จในชีวิต

ลักษณะของคนที่มักจะประสบความสำเร็จในชีวิต

วันนี้เรามาดูกันครับว่า ลักษณะของคนที่มักจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การดำเนินชีวิต หรือแม้แต่การลงทุน มีลักษณะอย่างไรกันบ้าง

1. ความมีวินัย เรามักจะพบเห็นว่า เจ้าของกิจการใหญ่โต มักจะมีวินัยในการทำงาน หรือแม้กระทั่งวินัยในการใช้ชีวิต โดยไม่ตึง หรือ หย่อนจนเกินไป

ตื่นเช้ามากๆ เพื่อมาวางแผนการทำงานในแต่ละวัน หรือ อัพเดตความเคลื่อนไหวของโลกผ่านข่าวสารต่างๆ

เข้างาน-เลิกงานตรงเวลา เพราะว่าพวกเขาได้วางแผนไว้แล้วว่าวันนี้จะทำอะไรแล้วพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ ตามแผนที่วางไว้ เวลาหลังจากเลิกงานก็คือเวลาของครอบครัว หากทุ่มเวลาให้กับงานมากเกินไป ครอบครัวก็อาจจะไม่มีความสุขนะครับ

เก็บเงินลงทุนในทุกๆครั้งที่เงินเดือนออก นอกจากจะช่วยจำกัดค่าใช้จ่ายจุกจิกที่เรามักจะใช้จ่ายเป็นปกติเพราะเห็นเงินยังเหลือเยอะอยู่แล้ว ยังช่วยสร้างฐานะให้เราได้ในอนาคตด้วยครับ แต่หากมีเท่าไรใช้หมด ปลายเดือนชนกลางเดือน กลางเดือนถึงปลายเดือนพึ่งพา บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อันนี้ก็จะหย่อนเกินไป หรือ มีเท่าไร เก็บหมด ไม่ใช้เลยแม้แต่บาทเดียว กินข้าวบ้าน ค่าน้ำ-ไฟ ให้ที่บ้านออก อันนี้ก็ตึงเกินไป ไม่ดีครับ

2. มีแผนและเป้าหมาย อย่างที่กล่าวไปในข้อแรก พื้นฐานของความสำเร็จ ก็คือ การวางแผน เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม

หากคุณไม่ได้มีการวางแผน หรือเป้าหมายที่ชัดเจน ให้นึกถึงต้นทุนที่เสียไปก็คือเวลา เวลามีค่ามาก และไม่เคยรอใครครับ ดังนั้นแล้ว 24 ชั่วโมงที่มีเท่ากันทุกคน ใครวางแผน เพื่อพิชิตเป้าหมาย และใช้เวลาได้คุ้มค่ามากกว่า ก็คือผู้ชนะ

หรือวางแผนเก็บเงินซื้อบ้าน ภายในเวลา X ปี เราต้องเก็บเงินปีละเท่าไร อันนี้ก็เป็นการวางแผนที่ง่ายๆ และเป้าหมายที่ชัดเจน

3. ทัศนคติที่ดี การมีความคิด และมุมมองในเชิงบวก (จริงในเชิงลบก็มีข้อดีที่ต่างกันออกไปนะครับ ผมขอไม่พูดถึงแล้วกัน ไม่ถนัดเลยครับ 555) การมีความคิดและมุมมองในเชิงบวกดีอย่างไร

คุณเคยคิดมั้ยครับว่า หัวหน้าแจกงานมาให้อีกแล้ว อันเดิมก็ยังไม่เสร็จเลย งานกองล้นท่วมหัว อันนี้คือความคิด และมุมมองเชิงลบ หากเรามองว่า งานที่เข้ามาเหมือนเป็นการเก็บ level (วกเข้าเกมเฉย) ยิ่งคุณใช้เวลาเพื่อทำงาน มากกว่าใช้เวลาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ประสบการณ์คุณก็มากตามไปด้วยครับ

หรืออย่างเช่น การเจอโอกาสในภาวะวิกฤต ยกตัวอย่างง่ายๆ ดร.นิเวศน์ กูรูการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investment) หากใครลองอ่านประวัติของ ดร.นิเวศน์ จะรู้ว่าหากไม่มีปี 40 วิกฤตต้มยำกุ้งในวันนั้น อาจจะมีมี ดร.นิเวศน์ อย่างในวันนี้ เพราะว่า ดร.นิเวศน์ กำลังมองหาทางออกให้กับวิกฤตของตัวเองอยู่ แล้วก็เกิดไอเดียขึ้นมา ทำให้ ดร.นิเวศน์ ได้เจอหุ้นที่ดีและราคาถูกมากๆ อยู่ในตลาดเต็มไปหมดเลย (ได้เวลา shopping)

4. ยอมรับความผิดพลาด และหาหนทางแก้ไขมัน จากประสบการณ์ของผมเอง เจอหลายคนมากที่ สร้างความผิดพลาดและความเสียหายให้กับตนเอง แต่โทษโชคชะตา ฟ้าดิน โทษหิน โทษทราย  คนแบบนี้ก็หวังแต่สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแล้วตัวเขาเองจะประสบความสำเร็จ (ลมๆแร้งๆมาก) ไม่มีหรอกครับแบบนั้น

หากเรารู้ว่าความผิดพลาดที่แท้จริงแล้ว เกิดจากอะไร แล้วเราลุกขึ้นมาแก้ไขมันได้อย่างตรงจุด ไม่เพียงแต่อุปสรรคที่ผ่านพ้นไป แต่จะมีประสบการณ์ติดตัวมาให้คุณอีกด้วย

หลายครั้งที่นักลงทุนระดับเซียน เช่น Warren Buffet คิดและตัดสินใจผิดในการลงทุนกิจการอะไรก็ตาม หากแม้จะขาดทุน แต่เขาก็รีบแก้ไข โดยการขายหุ้นทิ้งไปซะ แล้วหากิจการใหม่เพื่อลงทุน หากเสียดายกลัวขาดทุนแล้ว ราคาหุ้นก็ลงไปเรื่อยๆ ป่านนี้คงจะเจ๊งนะครับ :D

5. มีความตั้งใจ อย่างจริงใจ ที่จะทำการใดๆให้ประสบความสำเร็จ หากการทำงานแบบลวกๆ ขอให้เสร็จเสียที ผลงานก็จะออกมาไม่ดี feed back หรือเสียงตอบรับกลับมาก็คงจะไม่มีตามไปด้วย หากแต่เราตั้งใจ อย่างจริงใจในการทำงานแล้ว ผมเชื่อว่าผลงานที่ออกมานั้นต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแน่นอน อย่างน้อยๆก็มีข้อผิดพลาดน้อยลงกว่าเดิมมากๆ

เรื่องการ Focus ในสิ่งที่เราทำอยู่นั้นเป็นการเสริมสร้างสมาธิอีกทางหนึ่ง นอกจากจะได้ผลงานที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีสมาธิที่ดีขึ้นอีกด้วย (เจ๋งอะ)

6. รักในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การพัฒนาตนเองไม่ว่าจะในเรื่องใดๆ มันจะสร้างผลประโยชน์ให้เราได้เสมอๆครับ การอ่านหนังสือก็เป็นพื้นฐานในการพัฒนาตนเองอย่างหนึ่ง

ที่ผ่านมาผมเคยคิดนะว่า หนังสือเล่มนึง 200-300 บาท แพงอะ ไว้ก่อนแล้วกันๆ วันนึงผมกลับมาคิด บางทีเราก็ไปกินร้านอาหารที่ราคา มันแพงกว่านี้มากๆ ทำไมเราก็ยังจ่ายได้ หนังสือถูกกว่าครึ่ง ทำไมเราไม่ยอมจ่าย

หลังๆความสุขของผมคือการมีความรู้ในสิ่งที่ผมสนใจมากๆ ชอบที่จะศึกษาและแชร์ให้คุณผู้อ่านที่ติดตามบล๊อกของผมอยู่ได้มีความรู้เพิ่มขึ้นไปตามๆกัน ผมใช้การแชร์ความรู้มาเป็นตัวบังคับผมไปอีกทางหนึ่ง(แต่ชอบนะ) เพราะว่า การจะแชร์อะไรก็ตามให้คนทั่วไปได้รับรู้นั้น แสดงว่าเราต้องมีความรู้และตกผลึกได้แล้ว(หรือคิดได้นั่นแหละครับ)

สุดท้าย หวังว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้ของผม จะเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความสำเร็จไปด้วยกันครับ ผมเองยังไม่ประสบความสำเร็จครับ แต่ผมคิดว่าทางที่ผมเดินอยู่นี้ มันต้องไปถึงจุดหมายนั้นแน่นอน แล้วคุณล่ะ

ปล.ฝากติดตาม Blog และ Facebook Page ของผมด้วยนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลงทุนในอะไรเป็นการลงทุนที่ได้กำไรมากที่สุด?

ลงทุนในอะไรเป็นการลงทุนที่ได้กำไรมากที่สุด?

คนส่วนมากจะสนใจการลงทุนที่ให้กำไรสูงสุดครับ แต่กลับไม่สนใจว่า ทำอย่างไรจึงจะลงทุนแล้วได้กำไรมากที่สุด มันแตกต่างกันนะครับระหว่าง ลงทุนอะไรแล้วได้กำไรมากที่สุด กับ ทำอย่างไรจึงจะลงทุนแล้วได้กำไรมากที่สุด

เราคงเคยได้ยินว่า ลงทุนในหุ้นสิผลตอบแทนสูงนะ ใช่ครับผลตอบแทนสูงจริงๆ แต่เราอาจจะไม่ได้นึกความเสี่ยงที่จะทำให้เราขาดทุน คำถามคือ คุณยอมรับความเสี่ยงนั้นๆ แล้วจัดการความเสี่ยงนั้นๆได้อย่างไร?

การลดความเสี่ยงอันดับแรกที่เราสามารถทำได้ คือ การหาความรู้ในการลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ เช่นถ้าคุณสนใจในการลงทุนหุ้น ต้องรู้ก่อนว่า การลงทุนในหุ้นมีแบบใดบ้าง เช่น การซื้อขายเก็งกำไร ,การศึกษากิจการ แล้วเข้าซื้อหุ้นเพื่อเติบโตไปกับกิจการนั้นๆ คำตอบเหล่านี้เป็นการเริ่มต้นในการเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายของเราครับ

เมื่อเราค้นพบแล้วว่าเราต้องการลงทุนในหุ้นแบบไหน เราก็ต้องโฟกัสในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวิธีการ เพื่อลงทุนในวิธีที่เราสนใจ

ยกตัวอย่างเช่น ผมต้องการซื้อขายหุ้นเพื่อเก็งกำไร แล้ววิธีการเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเก็งกำไร ทำอย่างไร เช่น ศึกษาวิธีการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) เพื่อค้นหาจุดเข้าซื้อ และจุดทำกำไร หรือจุดขายเพื่อหยุดการขาดทุน (Stop Loss) เป็นต้น

มาถึงตรงนี้สังเกตเห็นอะไรไหมครับ สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ ก่อนที่เราจะไปลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม เราควรลงทุนในความรู้ของเราเสียก่อน สำหรับตัวผมเอง จุดประสงค์รองคือการทำกำไรให้ได้มากที่สุด จุดประสงค์หลักคือการทำให้ความเสี่ยงให้น้อยที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเงินของเรา

ทำไมผมจึงสนใจในการทำกำไรเป็นเรื่องรอง เพราะว่าเงินของเรามีจำกัดครับ หากผมมองเห็นการทำกำไรที่สูงมากๆ แต่เสี่ยงที่จะหมดตัวหรือเจ๊ง ผมเลือกที่จะเสี่ยงไม่มาก แล้วได้กำไรพอประมาณจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ยังพอจะรักษาเงินต้นไว้ได้ หรือเสียเงินต้นไปไม่มาก เมื่อเราศึกษา พร้อมกับสะสมประสบการณ์ ทำให้เราเชี่ยวชาญแล้ว เราจะสามารถทำให้ความเสี่ยงน้อย และสามารถกำไรเพิ่มขึ้นมากๆได้

ดังนั้น การลงทุนที่ได้กำไรมากที่สุด คือ การลงทุนในความรู้ ยิ่งคุณมีความรู้มากๆ ความเสี่ยงคุณจะน้อยลงๆ อาจจะได้ของแถมคือความสามารถในการต่อยอดอีกด้วยครับ แต่หากคุณไม่มีความรู้อะไรเลย การลงทุนก็เหมือนเอาเงินไปให้คนอื่น หรือไม่ต่างอะไรจากการพนันสักเท่าไรครับ หากมีเวลาว่างก็หาความรู้เพื่อเตรียมตัวที่จะลงทุนไว้ด้วยนะครับ

ฝากติดตาม Blog ของผม หรือ Like Page WealthyStory ด้วยนะครับ แล้วผมจะเสิร์ฟความรู้ในการเงิน การลงทุนให้ถึงหน้าจอของคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กองทุนแบบไหนที่เหมาะสมกับคุณ

ประเภทของกองทุนสามารถแบ่งแยกตามประเภทของกองทุน และ ตามนโยบายการลงทุนดังนี้ครับ

แบ่งตามประเภทโครงการของกองทุนรวม

  1. กองทุนปิด  คือ กองทุนที่คุณสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ ณ ตอนเริ่มโครงการเพียงครั้งเดียว และจะไม่สามารถขายหน่วยลงทุนนั้นจนกว่าจะครบกำหนดที่โครงการกำหนดไว้ มีสภาพคล่องต่ำ โอกาสที่คุณจะสามารถซื้อกองทุนปิดได้ คือ คุณเป็นลูกค้าเดิมของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นั้นๆอยู่แล้ว ตามที่ผมเคยเจอก็จะเป็น e-Mail ส่งมาแจ้งข่าว วันที่เปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนกองนั้นๆครับ
  2. กองทุนเปิด คือ กองทุนที่คุณสามารถ ซื้อ / ขายหน่วยลงทุนได้ตลอดระยะเวลาที่กองทุนนั้นยังดำเนินงานอยู่ มีสภาพคล่องสูง 

แบ่งตามนโยบายการลงทุน

  1. กองทุนรวมตราสารทุน  หรือ กองทุนรวมหุ้น มีนโยบายลงทุนในหุ้น หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้น ไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนนั้นๆ
  2. กองทุนรวมตราสารหนี้  มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยจะไม่ลงทุนในตราสารทุน(หุ้น หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิ์จะซื้อหุ้น)
  3. กองทุนรวมผสม มีนโยบายการลงทุนใน ตราสารทุน (หุ้น) ไม่เกิน 65% และไม่น้อยกว่า 35% โดยมีการลงทุนผสมรวมกับ ตราสารหนี้ ทำให้กองทุนแบบนี้ ความเสี่ยงน้อยกว่า กองทุนรวมหุ้น เนื่องจากกระจายไปลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า
  4. กองทุนรวมหน่วยลงทุน มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนอื่น ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับตราสารที่กองทุนนั้นเข้าไปลงทุนครับ
  5. กองทุนรวมตลาดเงิน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ที่มีคุณภาพ และ มีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถาม หรือ อายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี
  6. กองทุนรวมมีประกัน คือ กองทุนที่มี บลจ. จัดให้สถาบันการเงินประกันต่อผู้ถือหน่วยลงทุนว่า "จะจ่ายเงินลงทุน หรือ เงินลงทุนและผลตอบแทน ตามจำนวนเงินที่ประกันไว้" (อาจจะเป็นบางส่วน หรือ ประกันทั้งจำนวน) หากผู้ถือหน่วยลงทุน ถือหน่วยลงทุนครบอายุได้ตามระยะเวลาที่ประกันกำหนด
  7. กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น คือ กองทุนที่ บลจ. วางแผนการลงทุนเพื่อให้ความคุ้มครองเงินลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุน
  8. กองทุนรวมดัชนี  มีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน โดยอ้างอิงกับดัชนีของหลักทรัพย์ เช่น ดัชนี SET50 หาก ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้น ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้น เป็นต้น
  9. กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ มีนโยบายการลงทุนในตราสารที่เป็นของต่างประเทศ ซึ่งจะมีความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศแล้ว ยังมีความเสี่ยงในเรื่องภาวะตลาด หรือ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เข้าไปลงทุนด้วยครับ
  10. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนที่มีจุดประสงค์ในการสงเสริมการออมระยะยาวเพื่อการเลี้ยงชีพของผู้ถือหน่วยลงทุน และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่สรรพากรกำหนดไว้ด้วยครับ
  11. กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้น เราจะได้ผลประโยชน์จากการซื้อกองทุนประเภทนี้คือการลดหย่อนภาษี การจะขายคืนได้จำเป็นต้องถือหน่วยลงทุนให้ครบกำหนด 5 ปีปฏิทิน นับจากปีที่ ซื้อหน่วยลงทุนนั้นครับ
  12. กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนในต่างประเทศ คือ กองทุนที่เสนอขายหน่วยลงทุนทั้งหมดให้ผู้ที่ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
  13. กองทุนรวม ETF มีนโยบายการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีอ้างอิง โดยดัชนีอ้างอิงมีทั้งที่เป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ ดัชนีราคาตราสารหนี้ รวมถึงดัชนีอ้างอิงราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน หุ้น ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะ คล้ายกับ กองทุนรวมดัชนี แต่ว่ามีคุณสมบัติคล้ายกับหุ้นในตลาดตัวหนึ่ง โดยการซื้อขายขั้นต่ำ 100 หน่วย ต่างกับกองทุน ที่ระบุขั้นต่ำเป็นจำนวนเงิน และ ETF สามารถซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (ไม่ใช่ บลจ.)ครับ
  14. กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม มีนโยบายการลงทุนเจาะจงในบางหมวดอุตสาหกรรม เพียงบางหมวด เช่น ลงทุนเฉพาะหุ้นกลุ่ม ICT ,ฺEnergy เป็นต้น
  15. กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ มีนโยบายลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ โดยที่กองทุนนั้นอาจลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง หรือลงทุนในหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์หรือดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์
  16. กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีนโยบายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ โดยมุ่งเน้นการบริหารอสังหาริมทรัพย์ให้ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มากกว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพัฒนาและขายต่อ
  17. กองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนที่เป็นชาวต่างด้าว คือกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนของชาวต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ โดยข้อจำกัดเดียวกับอัตราส่วนการถือหุ้นของชาวต่างชาติ
  18. กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น การคมนาคม การสื่อสาร การไฟฟ้า เช่น ล่าสุดที่กำลังจะเสนอขายบุคคลทั่วไปก็คือ EGATIF 
ประเภทกองทุนรวมอาจจะมีแยกย่อยไปมากกว่าที่ผมเขียนไว้ในบทความนี้ครับ เพราะ นโยบายการลงทุนยังสามารถปรับเปลี่ยนไปได้อีก หรืออาจจะผสมรวมๆกันได้อีก เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งเท่าที่ผมลองค้นหากองทุนดู บางกองทุนน่าจะอยู่ในประเภท A กลับไปอยู่ในประเภท B เช่น กรณี กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจจะคิดว่าอยู่ในกองทุนรวมตราสารทุน แต่อยู่กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศครับ 

คราวหน้าเราจะมาดูวิธีค้นหากองทุนรวมกันครับ :D

วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF (ข้อมูลเบื้องต้น)


EGATIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรกของประเทศไทยที่สนับสนุนโดยรัฐวิสาหกิจ โดยจะเข้าลงทุนในสิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 เป็นระยะเวลาการลงทุน 20 ปี และ EGATIF จะมีขนาดกองทุนเบื้องต้นประมาณ 20,000 ล้านบาท

จากข้อมูล จะเปิดขายหน่วยลงทุน โดยสามารถซื้อได้ที่ ธนาคารไทยพานิชย์ เบื้องต้นไปสืบมา ลงขั้นต่ำ 5,000 หน่วยครับ ราคา 10 บาทต่อหน่วย ก็เท่ากับ 50,000 บาท ครับ

สิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า คืออะไร
ผมขออธิบายตามที่ผมเข้าใจนะครับ สมมุติโรงไฟฟ้าของเอกชน จะผลิตไฟฟ้าขายให้ กฟผ. จะมีเรื่องค่าความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้า (AP) ที่ กฟผ. ต้องจ่ายเงินให้เอกชนรายนั้นตามสัญญาว่า กี่ Mega Watt โดยคิดเป็นรายชั่วโมง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการที่ กฟผ. จะดึงไฟฟ้าส่วนนั้นไปหรือยังนะครับ หรือ หมายถึงโรงไฟฟ้านั้นพร้อมหรือไม่พร้อมที่จะจ่ายไฟ ถ้าพร้อมจ่ายไฟ กฟผ. จะจ่ายเงินให้กับเอกชนรายนั้น โดยในสัญญาจะระบุด้วยว่า ถ้าไม่สามารถจ่ายไฟให้ได้ตามที่สัญญากำหนด จะต้องชดเชยตามชั่วโมงที่ไม่สามารถจ่ายไฟให้ได้
ดังนั้น รายได้ของ EGATIF ก็คือค่าความพร้อมที่อธิบายไปข้างต้นครับ
โดย EGATIF มีสัญญาจะต้องพร้อมจ่าย 670 MegaWatt และจะได้รายได้ค่าความพร้อมในการจ่ายไฟของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 หลังจากนั้นค่อยแบ่งสรรปันส่วนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนครับ โดยจะมีการคืนเงินต้นด้วย การคืนเงินต้นอยู่ในหัวข้อผลตอบแทนด้านล่างนะครับ

ความเสี่ยง

ความเสี่ยงในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าฯ

ในกรณีที่โรงไฟฟ้าฯ ไม่สามารถเดินเครื่องตามชั่วโมงความพร้อมจ่ายที่ระบุไว้ในสัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายหรือหยุดซ่อมบำรุงไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ EGATIF

ความเสี่ยงของการขึ้นค่าเบี้ยประกันภัย

เนื่องจากการทำประกันภัยจะต้องมีการต่ออายุเป็นรายปี ดังนั้นนักลงทุนจะมีความเสี่ยงจากค่าเบี้ยประกันภัยของโรงไฟฟ้าฯ ที่อาจปรับสูงขึ้นได้และส่งผลกระทบต่อรายได้ที่จะส่งมอบให้แก่ EGATIF

ความเสี่ยงในการไม่มีความพร้อมจ่าย

กรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้าฯ เสียหาย ซึ่งทำให้ไม่มีความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม EGATIF จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (BI) โดยมีระยะเวลาคุ้มครองทั้งสิ้น 24 เดือน (Indemnity Period) และมีระยะเวลาการรับผิดส่วนแรก (Deductible) สูงสุดไม่เกิน 75 วัน โดยขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โครงสร้างรายได้ของ EGATIF


หมายเหตุ: มูลค่าในแผนผังเป็นมูลค่าประมาณการในอนาคต ดังนั้น ผลตอบแทนนักลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินงานจริงของ ทรัพย์สิน ที่กองทุนรวมฯ เข้าลงทุนเป็นครั้งแรก 
หมายเหตุ 1: อัตราส่วนที่กำหนดคำนวณจากค่าเฉลี่ยของสัดส่วนที่จะโอนให้แก่กองทุนรวมฯ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2558 ถึง 31 มิถุนายน 2559

ภายใต้สัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่าย ค่าความพร้อมจ่าย AP1จะถูกกําหนดตาม 
  1. อัตราค่าความพร้อมจ่าย APR1 (Availability Payment Rate 1: APR1) ซึ่งถูกกําหนดเป็นเงินบาทต่อกิโลวัตต์ตาม ชั่วโมงความพร้อมจ่ายในแต่ละปีตลอดอายุของสัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่าย 
  2. กำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญา (670 เมกะวัตต์)
  3. จํานวนชั่วโมงของความพร้อมจ่ายตามที่ระบุไว้ในสัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่า ความพร้อมจ่าย 

ผลตอบแทน

EGATIF ประมาณการผลตอบแทนไว้ที่ ราวๆ 5% โดยจะปันผลให้ปีละ 2 ครั้ง แต่หากมีกำไรมากพอจะคืนเงินลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน (ทยอยๆคืนให้) โดยการลดทุน ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนอาจลดเหลือ 0 บาทได้ครับ

เข้าซื้อขายในตลาดรอง 13 กรกฎาคม 2558 ครับ

สิ่งที่ EGATIF น่าสนใจคือ

  • รายได้ค่าความพร้อมค่อนข้างคงที่
  • โรงไฟฟ้าแห่งนี้มีดัชนีความพร้อมสูงกว่าค่าเฉลี่ยความพร้อมของโรงไฟฟ้าในอเมริกาเหนือ ซึ่งจัดทำโดย North American Electricity Reliability Corporation (NERC)
  • EGATIF ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า ทั้งค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน และ ค่าบำรุงรักษา
  • รายได้ไม่ขึ้นกับปริมาณไฟฟ้าที่จะเข้าสู่ระบบและค่าไฟฟ้า (นับแค่พร้อมจ่ายหรือไม่พร้อม)
  • มีการทำประกันความพร้อมจ่าย โดยได้รับค่าสินไหมทดแทน
  • ปันผลร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว และบุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล 10 ปี แรก
ผมแนะนำผู้ที่สนใจอ่านหนังสือชี้ชวน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจน ตามลิงค์ด้านล่างครับ
http://www.egatif.com/
และ
http://market.sec.or.th/public/mrap/MRAPView.aspx?FTYPE=I&PID=0303&PYR=2558

ฝากกดไลค์เพจ WealthyStoryTH ด้วยนะครับ

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความอดทนน้อย จุดอ่อนของคน Gen Y

วันนี้ขอพูดถึงกลุ่มคน Gen Y (คนที่เกิดในช่วงปี 2523-2540) สักหน่อยครับ เนื่องจากคน Gen Y นี้ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยทำงานพอดี

คนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับ Technology ซึ่งต้องการความรวดเร็ว ไม่ชอบทำอะไรที่ช้าๆ นานๆ ผมว่าด้วยเหตุนี้ Gen Y จึงมีจุดอ่อนก็คือ ความอดทนน้อย

ยกตัวอย่างเช่น อยากประสบความสำเร็จเร็วๆ อยากรวยเร็วๆ แบบที่ไม่ต้องเรียนรู้มาก อยากได้เงินเดือนเยอะๆ โดยที่ประสบการณ์ยังน้อย ความอดทนต่ำในการทำงานร่วมกับผู้อื่น

จากตัวอย่างแต่ละข้อที่กล่าวมา คน Gen Y 
ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเบื่องานได้ง่าย เปลี่ยนงานบ่อยๆ (จุดประสงค์อาจจะทั้งเบื่อและ เงินเดือนได้เพิ่มขึ้น) ทำงานจะให้เสร็จๆไปโดยเร็ว ขาดความละเอียดรอบครอบ ความผิดพลาดในงานก็มีสูง ทำให้องค์กรเสียหายได้ (อย่างน้อยก็ต้นทุนเรื่องเวลา)

จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น พร้อมกับเบื่องานแล้ว เลยหนีดีกว่า บางคนก็จะออกไปทำธุรกิจส่วนตัวบ้าง หรือบางคนก็ออกมา full time trader หรือเป็นนักเล่นหุ้นแบบเต็มเวลา หรือ สรุปง่ายๆว่า ทำไงก็ได้ให้เป็นเจ้านายตัวเอง หรือ ไม่ต้องมีคนมาคอยควบคุม และต้องการหาเงินแบบง่ายๆไปพร้อมๆกัน

ฟังดูเหมือนน่าจะง่ายๆไม่มีอะไร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจก็ทำได้ มีเงินทุนแล้ว อยากนั่งเล่นหุ้นอยู่บ้านก้ได้ มีเงินทุนแล้ว อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น การที่มีเงินทุนเป็นใบเบิกทางอยู่แล้วมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่าานั้น 

ขอยกตัวอย่างฝั่งธุรกิจครับ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ถ้ามีแค่เงินก็สามารถทำได้สำเร็จแล้วผมว่าไม่ใช่ครับ สมมุติว่าร้านกาแฟบูมมาก ใครๆก็เปิดร้านกาแฟ มีเงินเพียงพอก็เปิดได้ เลยจะเปิดร้านกาแฟบ้าง 
คิดแบบนี้ก็แย่แล้วครับ เพราะว่าคิดจะกระโดดเข้าไปในธุรกิจที่การแข่งขันสูงแบบนั้น เพราะใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าประสบการณ์น้อย เงินทุนมีไม่เยอะพอ เลือกทำเลไม่เป็น การตลาดก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีอะไรแปลกแตกต่าง ร้านกาแฟคุณจะไปรอดมั้ยครับ และการจะเปิดร้านอาหารหรือสินค้าที่เป็นของกินแบบนี้ คุณต้องมีความพิถีพิถันในการทำนะครับ จะไว้ใจลูกจ้างชงกาแฟรสชาติไม่คงที่ เพื่อแลกกับเงินที่ลูกค้ายอมจ่ายมา ก็อาจจะไม่คุ้มค่า เพราะไม่อร่อยใครจะมาซื้อซ้ำอีกล่ะครับ ยิ่งข่าวร้ายดังกว่าไปไวกว่าข่าวดี  ทีนี้เป็น viral marketing เลย ร้านนี้ไม่อร่อยเลยอะ ลูกค้าหายกำไรหด ฉะนั้นอย่างน้อย ถ้าจะเปิดร้านอะไร คุณก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นมากๆ

แม้แต่การจ้างบาริสต้าเก่งๆมาประจำร้านเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ถ้าบาริสต้าคนนั้นลาออกไป หรือโดนร้านอื่นในละแวกนั้นซื้อตัวไป ร้านคุณจะทำยังไงดีครับ


ขอแวะไปที่ทำร้านค้าใน IG Facebook สักนิดนึง เห็นตามข่าวบ่อยๆ แม่ค้าวีนลูกค้า (เป็นซะอย่างนั้น) คือจะเป็นแม่ค้า ขายสินค้า ลูกค้าออนไลน์ เค้ามีเวลาเยอะกว่าพวกที่มาเดินๆซื้อตามตลาดมากนะครับ ลูกค้าข้องใจอะไร ก็ต้องถามขอรายละเอียดเป็นปกติ ถามเรื่องสินค้าตอน 6 โมงเช้า ยังโดนวีนผมละไม่อยากเชื่อ ความอดทนไปไหนกันหมด สุดท้ายแม่ค้าโดนสังคมประนามกันเลยทีเดียว ถึงกับต้องปิดร้านหรี หรือเปลี่ยนชื่อร้านกันเลย แถมมีแม่ค้าบางร้าน รายละเอียดสินค้าไม่รู้ ถามนั่นไม่รู้ ถามนี่ไม่รู้ แล้วใครเค้าจะอยากมาซื้อกันละครับ บางทีตอบมาแบบไม่รู้ๆ ถ้าไม่จริง ลูกค้าจะหาว่าเราหลอกเขานะครับ เพราะฉะนั้น เป็นแม่ค้าออนไลน์ ก็ต้องมีความรู้ในตัวสินค้าให้มากๆอีกเช่นกัน

ส่วนที่นั่งเล่นหุ้นอยู่บ้าน อันนี้ความเสี่ยงอยู่ที่ความไม่รู้ หรือ ความรู้และประสบการณ์น้อย เช่นกันครับ หากเล่นหุ้นตามข่าว คุณก็จะไม่มีวันชนะใครเลย เพราะคุณรู้ข่าว คนอื่นเค้าก็รู้ด้วย (ยกเว้นวงใน 555 ถ้ามีเพื่อนสนิทอยู่วงในก็แล้วไป) 

แต่ถ้าคุณบอกจะเล่นแบบเทคนิค วิเคราะห์กราฟ ก็ต้องไปหาความรู้ซะก่อนว่า ตอนไหนต้องซื้อ ตอนไหนต้องขาย ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คิด คุณกล้า Cut Loss ใช่มั้ย เพราะมีคนที่ต้องเอาเงินไปจมกับหุ้นติดดอยสูงๆ เนื่องจากไม่ยอม Cut Loss นี่แหละครับ ผลสุดท้ายก็จำใจเป็นนักลงทุนหุ้นเน่าระยะยาว ฮ่าๆ เพราะเล่นแบบเทคนิค แล้วไม่ได้สนใจพื้นฐานของหุ้น ขอเพียงแต่ให้ราคามันวิ่ง ก็จะได้ถือหุ้นเน่าๆแบบนี้แหละครับ

ผมอาจจะยกตัวอย่างได้ไม่หมดทุกมุมมอง แต่ก็พอจะเห็นได้ว่า การที่จะเป็นนายตัวเองนั้นไม่ได้ง่าย สวยหรูตามที่เราคิดไวเสมอไปนะครับ เพราะมันเต็มไปด้วย อุปสรรคมากมาย ความเสี่ยงหลายๆด้าน และความอดทนที่ต้องมีมากๆ อดทนที่จะฟันฝ่าอุปสรรค อดทนที่จะเรียนรู้ อดทนเพื่อความสำเร็จ

ดังนั้นแล้ว ถ้าผมอยากจะแนะนำก็คือ ถ้าหาตัวเองเจอแล้วว่าคุณอยากจะทำอะไร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจอะไร ลองไปเป็นลูกจ้าง ในธุรกิจนั้นๆก่อนครับ ไปเป็นเพื่อให้รู้ว่า ธุรกิจนี้ทำงานกันยังไง เขาเจอปัญหาอะไรบ้าง ลองช่วยคิดและเสนอวิธีแก้ปัญหา ในวันนึงที่คุณคิดว่า มีความรู้และประสบการณ์มากพอแล้ว คุณจะออกมาลองเปิดธุรกิจนั้นๆดูบ้าง ก็คงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าทำไปแบบไม่มีความรู้อะไรเลย จริงไหมครับ

"คงไม่มีคนไหนที่จะประสบความสำเร็จง่ายๆ โดยที่เขาไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย"