ประกาศ
Blog ได้ย้ายไปที่ http://www.wealthystory.com/ แล้วครับ
วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558
วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558
ลงทุนหุ้นแบบ VI เป็นอย่างไร?
ขออภัยที่ช่วงก่อนหน้านี้หายไปนานครับ ติดภาระกิจงานประจำอันหนักหน่วง ฮ่าๆ เอาเป็นว่าจะกลับมาทยอยชดเชยความรู้ให้นะครับ
ลงทุนหุ้นแบบ VI เป็นอย่างไร?
นักลงทุนที่พึ่งเข้าตลาดมาใหม่ คงได้ยินคำว่า VI ได้บ่อยๆนะครับ (ผมขอแชร์ประสบการณ์ของผมนะครับ)
VI หรือ Value Investment คือ การลงทุนโดยสนใจในมูลค่าของธุรกิจนั้นๆเป็นหลัก โดยตัวมูลค่าของธุรกิจนั้นๆ เราสามารถหาได้จากงบการเงิน (งบดุล งบกำไรขาดทุน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของเจ้าของ งบกระแสเงินสด เยอะไปนะ =_=)
แต่อันที่จริงแล้ว ผมจะไม่สนใจตัวเลขมากมายขนาดนั้น อาจจะหามูลค่าเหมาะสมจาก PE (Price to Earning) หรือ PBV (Price to Book Value) แทนก็ยังได้ครับ ทั้ง 2 ตัวนี้ มีบอกในเว็บของตลาดหลักทรัพย์
ค่า PE จะตีความได้ว่า อีกประมาณกี่ปีจะคืนทุนให้เรา เช่น PE = 10 ก็คืออีก 10 ปี ถึงจะคืนทุนให้เราครับ
ค่า PBV จะบอกถึงราคานั้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของกิจการ อยู่เท่าไร เช่น PBV = 1 แสดงว่า ราคาที่เราซื้อก็ได้เท่าๆกับมูลค่าทางบัญชี แต่ส่วนใหญ่ ธุรกิจดีๆ ราคามักจะเกิน มูลค่าทางบัญชีไปเยอะแล้วครับ
ปัญหาคือ ค่า E (EPS กำไรต่อหุ้น) และ BV (Book Value มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เป็นค่าที่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต (งบปีล่าสุด) ดังนั้น ค่า PE และ PBV ในเว็บก็จะเป็นค่าที่คำนวณจาก ราคาปิดล่าสุด หารด้วย E หรือ BV ของงบปีล่าสุด ซึ่งดูจะล่าช้าเกินไป
วิธีแก้(ของผมนะ) ลองหาข้อมูลย้อนหลังกลับไปให้ได้มากที่สุดครับ (เกิน 10ปี จะดีมาก เพราะว่าธุรกิจนั้นผ่านมาครบ 1 วงจรเศรษฐกิจ จะผ่านมาทุกเหตุการณ์ ดี ร้าย น้ำท่วม ม๊อบ ฯลฯ) แล้วลองดูค่า E หรือ EPS (ตัวเดียวกันนะ) ที่ผ่านมา มาอัตราการเติบโตเป็นอย่างไร
จากนั้นก็ลองประเมินดูว่าปีนี้จะสามารถทำได้แค่ไหน ซึ่งมันจะค่อยๆเฉลยออกมา ทีละไตรมาสล่าสุดครับ
การประเมิน อาจจะยากสักหน่อย ดังนั้น การลงทุนแบบ VI จึงควรลงทุนในธุรกิจที่เรารู้จักดี เราใช้บริการบ่อยๆ เรามีความรู้จักคุ้นเคย ในสินค้า หรือ บริการธุรกิจนั้นๆ พร้อมกับติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ ในประเทศนอกประเทศ เพื่อดูสภาพแวดล้อม และในมาประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจนั้นๆว่า ไปได้อย่างสวยๆ หรือไปได้อย่างฝืดๆ หรือจะไปไม่รอด สิ่งเหล่านี้นักลงทุนแนว VI ก็ควรจะทำได้ครับ
หากเราประเมินออกมาแล้วว่า กำไรต่อหุ้น ในอนาคตน่าจะอยู่สักเท่าไร ลองเอามา x กับค่า PE ที่ได้จากเว็บตลาดหลักทรัพย์ดูครับ ค่าที่ออกมาจะเป็นราคาในอนาคต (ความแม่นขึ้นอยู่กับความสามารถในการประเมินนะครับ)
หรือวิธีข้างต้นยากไป ก็ดู PE ล่าสุดนี่แหละครับมีค่าเท่าไร เรายอมรับได้มากสุดที่กี่ปีคืนทุน เช่น อยากได้ 1 ปีคืนทุนเลย ก็รอดูค่า PE = 1 ก็ซื้อมันตอนนั้นครับ (ไม่วิกฤตรุนแรงจริงๆ ผมว่ายากมาก ที่จะได้ PE ต่ำๆ) ช่วงที่รอราคาลงก็เก็บเงินเข้าพอร์ต หรือเอาไปฝากไม่ประจำรับดอกเบี้ยไปก่อนก้ได้ครับ
แต่!!! ขอเตือนตัวใหญ่ๆครับ การประเมินพวกนี้ ควรจะดูพื้นฐานของธุรกิจให้ออกก่อนนะครับว่า ธุรกิจนั้นดีจริงๆมั้ย หรือดีแค่ช่วงนี้ ความสามารถในการทำกำไรในอนาคต ยั่งยืนหรือไม่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องซีเรียสครับ ไม่งั้นคุณจะเสี่ยงไปหาหุ้น PE ต่ำๆ แต่จริงๆแล้วต่ำเพราะว่า ที่ผ่านทำกำไรสู้คู่แข่งไม่ได้ อันนี้จะเงิบนะครับ
ยังจำวิธีการลงทุนด้วย DCA ได้มั้ยครับ VI จะต่างกันอยู่ตรงที่ VI รอให้ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่คิดได้ แล้วค่อยซื้อครับ ต่างจาก DCA ที่ดู ok หุ้นนี้ดี ซื้อเก็บทุกๆเดือน ด้วยเงินเท่าๆกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับว่าชอบแบบไหน ถูกใจแบบไหน ก็ใช้วิธีลงทุนแบบนั้นไปครับ
ปล. อย่าลืมตามมากด Like ที่เพจ https://www.facebook.com/WealthyStoryTH ด้วยนะครับ ส่วนใหญ่ในเพจผมใจโพสข้อความเล็กๆน้อยๆ ทั้งเรื่องเงิน และเรื่องพัฒนาตนเองครับ ใครสนใจกด Like รอไว้ได้เลยครับ
ปล2. มีข้อสงสัยส่ง Inbox ใน page มาถาม ได้เลยนะครับ ในนั้นผมจะตอบได้เร็วกว่า :D
แต่อันที่จริงแล้ว ผมจะไม่สนใจตัวเลขมากมายขนาดนั้น อาจจะหามูลค่าเหมาะสมจาก PE (Price to Earning) หรือ PBV (Price to Book Value) แทนก็ยังได้ครับ ทั้ง 2 ตัวนี้ มีบอกในเว็บของตลาดหลักทรัพย์
ค่า PE จะตีความได้ว่า อีกประมาณกี่ปีจะคืนทุนให้เรา เช่น PE = 10 ก็คืออีก 10 ปี ถึงจะคืนทุนให้เราครับ
ค่า PBV จะบอกถึงราคานั้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีของกิจการ อยู่เท่าไร เช่น PBV = 1 แสดงว่า ราคาที่เราซื้อก็ได้เท่าๆกับมูลค่าทางบัญชี แต่ส่วนใหญ่ ธุรกิจดีๆ ราคามักจะเกิน มูลค่าทางบัญชีไปเยอะแล้วครับ
ปัญหาคือ ค่า E (EPS กำไรต่อหุ้น) และ BV (Book Value มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น) เป็นค่าที่มันเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต (งบปีล่าสุด) ดังนั้น ค่า PE และ PBV ในเว็บก็จะเป็นค่าที่คำนวณจาก ราคาปิดล่าสุด หารด้วย E หรือ BV ของงบปีล่าสุด ซึ่งดูจะล่าช้าเกินไป
วิธีแก้(ของผมนะ) ลองหาข้อมูลย้อนหลังกลับไปให้ได้มากที่สุดครับ (เกิน 10ปี จะดีมาก เพราะว่าธุรกิจนั้นผ่านมาครบ 1 วงจรเศรษฐกิจ จะผ่านมาทุกเหตุการณ์ ดี ร้าย น้ำท่วม ม๊อบ ฯลฯ) แล้วลองดูค่า E หรือ EPS (ตัวเดียวกันนะ) ที่ผ่านมา มาอัตราการเติบโตเป็นอย่างไร
จากนั้นก็ลองประเมินดูว่าปีนี้จะสามารถทำได้แค่ไหน ซึ่งมันจะค่อยๆเฉลยออกมา ทีละไตรมาสล่าสุดครับ
การประเมิน อาจจะยากสักหน่อย ดังนั้น การลงทุนแบบ VI จึงควรลงทุนในธุรกิจที่เรารู้จักดี เราใช้บริการบ่อยๆ เรามีความรู้จักคุ้นเคย ในสินค้า หรือ บริการธุรกิจนั้นๆ พร้อมกับติดตามข่าวสาร เศรษฐกิจ ในประเทศนอกประเทศ เพื่อดูสภาพแวดล้อม และในมาประเมินความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจนั้นๆว่า ไปได้อย่างสวยๆ หรือไปได้อย่างฝืดๆ หรือจะไปไม่รอด สิ่งเหล่านี้นักลงทุนแนว VI ก็ควรจะทำได้ครับ
หากเราประเมินออกมาแล้วว่า กำไรต่อหุ้น ในอนาคตน่าจะอยู่สักเท่าไร ลองเอามา x กับค่า PE ที่ได้จากเว็บตลาดหลักทรัพย์ดูครับ ค่าที่ออกมาจะเป็นราคาในอนาคต (ความแม่นขึ้นอยู่กับความสามารถในการประเมินนะครับ)
หรือวิธีข้างต้นยากไป ก็ดู PE ล่าสุดนี่แหละครับมีค่าเท่าไร เรายอมรับได้มากสุดที่กี่ปีคืนทุน เช่น อยากได้ 1 ปีคืนทุนเลย ก็รอดูค่า PE = 1 ก็ซื้อมันตอนนั้นครับ (ไม่วิกฤตรุนแรงจริงๆ ผมว่ายากมาก ที่จะได้ PE ต่ำๆ) ช่วงที่รอราคาลงก็เก็บเงินเข้าพอร์ต หรือเอาไปฝากไม่ประจำรับดอกเบี้ยไปก่อนก้ได้ครับ
แต่!!! ขอเตือนตัวใหญ่ๆครับ การประเมินพวกนี้ ควรจะดูพื้นฐานของธุรกิจให้ออกก่อนนะครับว่า ธุรกิจนั้นดีจริงๆมั้ย หรือดีแค่ช่วงนี้ ความสามารถในการทำกำไรในอนาคต ยั่งยืนหรือไม่ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องซีเรียสครับ ไม่งั้นคุณจะเสี่ยงไปหาหุ้น PE ต่ำๆ แต่จริงๆแล้วต่ำเพราะว่า ที่ผ่านทำกำไรสู้คู่แข่งไม่ได้ อันนี้จะเงิบนะครับ
ยังจำวิธีการลงทุนด้วย DCA ได้มั้ยครับ VI จะต่างกันอยู่ตรงที่ VI รอให้ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่คิดได้ แล้วค่อยซื้อครับ ต่างจาก DCA ที่ดู ok หุ้นนี้ดี ซื้อเก็บทุกๆเดือน ด้วยเงินเท่าๆกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับว่าชอบแบบไหน ถูกใจแบบไหน ก็ใช้วิธีลงทุนแบบนั้นไปครับ
ปล. อย่าลืมตามมากด Like ที่เพจ https://www.facebook.com/WealthyStoryTH ด้วยนะครับ ส่วนใหญ่ในเพจผมใจโพสข้อความเล็กๆน้อยๆ ทั้งเรื่องเงิน และเรื่องพัฒนาตนเองครับ ใครสนใจกด Like รอไว้ได้เลยครับ
ปล2. มีข้อสงสัยส่ง Inbox ใน page มาถาม ได้เลยนะครับ ในนั้นผมจะตอบได้เร็วกว่า :D
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ลักษณะของคนที่มักจะประสบความสำเร็จในชีวิต
ลักษณะของคนที่มักจะประสบความสำเร็จในชีวิต
วันนี้เรามาดูกันครับว่า ลักษณะของคนที่มักจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การดำเนินชีวิต หรือแม้แต่การลงทุน มีลักษณะอย่างไรกันบ้าง1. ความมีวินัย เรามักจะพบเห็นว่า เจ้าของกิจการใหญ่โต มักจะมีวินัยในการทำงาน หรือแม้กระทั่งวินัยในการใช้ชีวิต โดยไม่ตึง หรือ หย่อนจนเกินไป
ตื่นเช้ามากๆ เพื่อมาวางแผนการทำงานในแต่ละวัน หรือ อัพเดตความเคลื่อนไหวของโลกผ่านข่าวสารต่างๆ
เข้างาน-เลิกงานตรงเวลา เพราะว่าพวกเขาได้วางแผนไว้แล้วว่าวันนี้จะทำอะไรแล้วพวกเขาก็ทำได้สำเร็จ ตามแผนที่วางไว้ เวลาหลังจากเลิกงานก็คือเวลาของครอบครัว หากทุ่มเวลาให้กับงานมากเกินไป ครอบครัวก็อาจจะไม่มีความสุขนะครับ
เก็บเงินลงทุนในทุกๆครั้งที่เงินเดือนออก นอกจากจะช่วยจำกัดค่าใช้จ่ายจุกจิกที่เรามักจะใช้จ่ายเป็นปกติเพราะเห็นเงินยังเหลือเยอะอยู่แล้ว ยังช่วยสร้างฐานะให้เราได้ในอนาคตด้วยครับ แต่หากมีเท่าไรใช้หมด ปลายเดือนชนกลางเดือน กลางเดือนถึงปลายเดือนพึ่งพา บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อันนี้ก็จะหย่อนเกินไป หรือ มีเท่าไร เก็บหมด ไม่ใช้เลยแม้แต่บาทเดียว กินข้าวบ้าน ค่าน้ำ-ไฟ ให้ที่บ้านออก อันนี้ก็ตึงเกินไป ไม่ดีครับ
2. มีแผนและเป้าหมาย อย่างที่กล่าวไปในข้อแรก พื้นฐานของความสำเร็จ ก็คือ การวางแผน เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้ในระยะเวลาที่เหมาะสม
หากคุณไม่ได้มีการวางแผน หรือเป้าหมายที่ชัดเจน ให้นึกถึงต้นทุนที่เสียไปก็คือเวลา เวลามีค่ามาก และไม่เคยรอใครครับ ดังนั้นแล้ว 24 ชั่วโมงที่มีเท่ากันทุกคน ใครวางแผน เพื่อพิชิตเป้าหมาย และใช้เวลาได้คุ้มค่ามากกว่า ก็คือผู้ชนะ
หรือวางแผนเก็บเงินซื้อบ้าน ภายในเวลา X ปี เราต้องเก็บเงินปีละเท่าไร อันนี้ก็เป็นการวางแผนที่ง่ายๆ และเป้าหมายที่ชัดเจน
3. ทัศนคติที่ดี การมีความคิด และมุมมองในเชิงบวก (จริงในเชิงลบก็มีข้อดีที่ต่างกันออกไปนะครับ ผมขอไม่พูดถึงแล้วกัน ไม่ถนัดเลยครับ 555) การมีความคิดและมุมมองในเชิงบวกดีอย่างไร
คุณเคยคิดมั้ยครับว่า หัวหน้าแจกงานมาให้อีกแล้ว อันเดิมก็ยังไม่เสร็จเลย งานกองล้นท่วมหัว อันนี้คือความคิด และมุมมองเชิงลบ หากเรามองว่า งานที่เข้ามาเหมือนเป็นการเก็บ level (วกเข้าเกมเฉย) ยิ่งคุณใช้เวลาเพื่อทำงาน มากกว่าใช้เวลาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ประสบการณ์คุณก็มากตามไปด้วยครับ
หรืออย่างเช่น การเจอโอกาสในภาวะวิกฤต ยกตัวอย่างง่ายๆ ดร.นิเวศน์ กูรูการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investment) หากใครลองอ่านประวัติของ ดร.นิเวศน์ จะรู้ว่าหากไม่มีปี 40 วิกฤตต้มยำกุ้งในวันนั้น อาจจะมีมี ดร.นิเวศน์ อย่างในวันนี้ เพราะว่า ดร.นิเวศน์ กำลังมองหาทางออกให้กับวิกฤตของตัวเองอยู่ แล้วก็เกิดไอเดียขึ้นมา ทำให้ ดร.นิเวศน์ ได้เจอหุ้นที่ดีและราคาถูกมากๆ อยู่ในตลาดเต็มไปหมดเลย (ได้เวลา shopping)
4. ยอมรับความผิดพลาด และหาหนทางแก้ไขมัน จากประสบการณ์ของผมเอง เจอหลายคนมากที่ สร้างความผิดพลาดและความเสียหายให้กับตนเอง แต่โทษโชคชะตา ฟ้าดิน โทษหิน โทษทราย คนแบบนี้ก็หวังแต่สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแล้วตัวเขาเองจะประสบความสำเร็จ (ลมๆแร้งๆมาก) ไม่มีหรอกครับแบบนั้น
หากเรารู้ว่าความผิดพลาดที่แท้จริงแล้ว เกิดจากอะไร แล้วเราลุกขึ้นมาแก้ไขมันได้อย่างตรงจุด ไม่เพียงแต่อุปสรรคที่ผ่านพ้นไป แต่จะมีประสบการณ์ติดตัวมาให้คุณอีกด้วย
หลายครั้งที่นักลงทุนระดับเซียน เช่น Warren Buffet คิดและตัดสินใจผิดในการลงทุนกิจการอะไรก็ตาม หากแม้จะขาดทุน แต่เขาก็รีบแก้ไข โดยการขายหุ้นทิ้งไปซะ แล้วหากิจการใหม่เพื่อลงทุน หากเสียดายกลัวขาดทุนแล้ว ราคาหุ้นก็ลงไปเรื่อยๆ ป่านนี้คงจะเจ๊งนะครับ :D
5. มีความตั้งใจ อย่างจริงใจ ที่จะทำการใดๆให้ประสบความสำเร็จ หากการทำงานแบบลวกๆ ขอให้เสร็จเสียที ผลงานก็จะออกมาไม่ดี feed back หรือเสียงตอบรับกลับมาก็คงจะไม่มีตามไปด้วย หากแต่เราตั้งใจ อย่างจริงใจในการทำงานแล้ว ผมเชื่อว่าผลงานที่ออกมานั้นต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ดีแน่นอน อย่างน้อยๆก็มีข้อผิดพลาดน้อยลงกว่าเดิมมากๆ
เรื่องการ Focus ในสิ่งที่เราทำอยู่นั้นเป็นการเสริมสร้างสมาธิอีกทางหนึ่ง นอกจากจะได้ผลงานที่ดีขึ้นแล้ว ยังมีสมาธิที่ดีขึ้นอีกด้วย (เจ๋งอะ)
6. รักในการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การพัฒนาตนเองไม่ว่าจะในเรื่องใดๆ มันจะสร้างผลประโยชน์ให้เราได้เสมอๆครับ การอ่านหนังสือก็เป็นพื้นฐานในการพัฒนาตนเองอย่างหนึ่ง
ที่ผ่านมาผมเคยคิดนะว่า หนังสือเล่มนึง 200-300 บาท แพงอะ ไว้ก่อนแล้วกันๆ วันนึงผมกลับมาคิด บางทีเราก็ไปกินร้านอาหารที่ราคา มันแพงกว่านี้มากๆ ทำไมเราก็ยังจ่ายได้ หนังสือถูกกว่าครึ่ง ทำไมเราไม่ยอมจ่าย
หลังๆความสุขของผมคือการมีความรู้ในสิ่งที่ผมสนใจมากๆ ชอบที่จะศึกษาและแชร์ให้คุณผู้อ่านที่ติดตามบล๊อกของผมอยู่ได้มีความรู้เพิ่มขึ้นไปตามๆกัน ผมใช้การแชร์ความรู้มาเป็นตัวบังคับผมไปอีกทางหนึ่ง(แต่ชอบนะ) เพราะว่า การจะแชร์อะไรก็ตามให้คนทั่วไปได้รับรู้นั้น แสดงว่าเราต้องมีความรู้และตกผลึกได้แล้ว(หรือคิดได้นั่นแหละครับ)
สุดท้าย หวังว่าทุกคนที่อ่านบทความนี้ของผม จะเริ่มต้นเดินทางไปสู่ความสำเร็จไปด้วยกันครับ ผมเองยังไม่ประสบความสำเร็จครับ แต่ผมคิดว่าทางที่ผมเดินอยู่นี้ มันต้องไปถึงจุดหมายนั้นแน่นอน แล้วคุณล่ะ
ปล.ฝากติดตาม Blog และ Facebook Page ของผมด้วยนะครับ
วันอาทิตย์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
ลงทุนในอะไรเป็นการลงทุนที่ได้กำไรมากที่สุด?
ลงทุนในอะไรเป็นการลงทุนที่ได้กำไรมากที่สุด?
คนส่วนมากจะสนใจการลงทุนที่ให้กำไรสูงสุดครับ แต่กลับไม่สนใจว่า ทำอย่างไรจึงจะลงทุนแล้วได้กำไรมากที่สุด มันแตกต่างกันนะครับระหว่าง ลงทุนอะไรแล้วได้กำไรมากที่สุด กับ ทำอย่างไรจึงจะลงทุนแล้วได้กำไรมากที่สุด
เราคงเคยได้ยินว่า ลงทุนในหุ้นสิผลตอบแทนสูงนะ ใช่ครับผลตอบแทนสูงจริงๆ แต่เราอาจจะไม่ได้นึกความเสี่ยงที่จะทำให้เราขาดทุน คำถามคือ คุณยอมรับความเสี่ยงนั้นๆ แล้วจัดการความเสี่ยงนั้นๆได้อย่างไร?
การลดความเสี่ยงอันดับแรกที่เราสามารถทำได้ คือ การหาความรู้ในการลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ เช่นถ้าคุณสนใจในการลงทุนหุ้น ต้องรู้ก่อนว่า การลงทุนในหุ้นมีแบบใดบ้าง เช่น การซื้อขายเก็งกำไร ,การศึกษากิจการ แล้วเข้าซื้อหุ้นเพื่อเติบโตไปกับกิจการนั้นๆ คำตอบเหล่านี้เป็นการเริ่มต้นในการเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายของเราครับ
เมื่อเราค้นพบแล้วว่าเราต้องการลงทุนในหุ้นแบบไหน เราก็ต้องโฟกัสในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวิธีการ เพื่อลงทุนในวิธีที่เราสนใจ
ยกตัวอย่างเช่น ผมต้องการซื้อขายหุ้นเพื่อเก็งกำไร แล้ววิธีการเพื่อให้ประสบความสำเร็จในการเก็งกำไร ทำอย่างไร เช่น ศึกษาวิธีการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) เพื่อค้นหาจุดเข้าซื้อ และจุดทำกำไร หรือจุดขายเพื่อหยุดการขาดทุน (Stop Loss) เป็นต้น
มาถึงตรงนี้สังเกตเห็นอะไรไหมครับ สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ ก่อนที่เราจะไปลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม เราควรลงทุนในความรู้ของเราเสียก่อน สำหรับตัวผมเอง จุดประสงค์รองคือการทำกำไรให้ได้มากที่สุด จุดประสงค์หลักคือการทำให้ความเสี่ยงให้น้อยที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นกับเงินของเรา
ทำไมผมจึงสนใจในการทำกำไรเป็นเรื่องรอง เพราะว่าเงินของเรามีจำกัดครับ หากผมมองเห็นการทำกำไรที่สูงมากๆ แต่เสี่ยงที่จะหมดตัวหรือเจ๊ง ผมเลือกที่จะเสี่ยงไม่มาก แล้วได้กำไรพอประมาณจะดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ยังพอจะรักษาเงินต้นไว้ได้ หรือเสียเงินต้นไปไม่มาก เมื่อเราศึกษา พร้อมกับสะสมประสบการณ์ ทำให้เราเชี่ยวชาญแล้ว เราจะสามารถทำให้ความเสี่ยงน้อย และสามารถกำไรเพิ่มขึ้นมากๆได้
ดังนั้น การลงทุนที่ได้กำไรมากที่สุด คือ การลงทุนในความรู้ ยิ่งคุณมีความรู้มากๆ ความเสี่ยงคุณจะน้อยลงๆ อาจจะได้ของแถมคือความสามารถในการต่อยอดอีกด้วยครับ แต่หากคุณไม่มีความรู้อะไรเลย การลงทุนก็เหมือนเอาเงินไปให้คนอื่น หรือไม่ต่างอะไรจากการพนันสักเท่าไรครับ หากมีเวลาว่างก็หาความรู้เพื่อเตรียมตัวที่จะลงทุนไว้ด้วยนะครับ
ฝากติดตาม Blog ของผม หรือ Like Page WealthyStory ด้วยนะครับ แล้วผมจะเสิร์ฟความรู้ในการเงิน การลงทุนให้ถึงหน้าจอของคุณครับ
ฝากติดตาม Blog ของผม หรือ Like Page WealthyStory ด้วยนะครับ แล้วผมจะเสิร์ฟความรู้ในการเงิน การลงทุนให้ถึงหน้าจอของคุณครับ
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558
กองทุนแบบไหนที่เหมาะสมกับคุณ
ประเภทของกองทุนสามารถแบ่งแยกตามประเภทของกองทุน และ ตามนโยบายการลงทุนดังนี้ครับ
คราวหน้าเราจะมาดูวิธีค้นหากองทุนรวมกันครับ :D
แบ่งตามประเภทโครงการของกองทุนรวม
- กองทุนปิด คือ กองทุนที่คุณสามารถซื้อหน่วยลงทุนได้ ณ ตอนเริ่มโครงการเพียงครั้งเดียว และจะไม่สามารถขายหน่วยลงทุนนั้นจนกว่าจะครบกำหนดที่โครงการกำหนดไว้ มีสภาพคล่องต่ำ โอกาสที่คุณจะสามารถซื้อกองทุนปิดได้ คือ คุณเป็นลูกค้าเดิมของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นั้นๆอยู่แล้ว ตามที่ผมเคยเจอก็จะเป็น e-Mail ส่งมาแจ้งข่าว วันที่เปิดให้ซื้อหน่วยลงทุนกองนั้นๆครับ
- กองทุนเปิด คือ กองทุนที่คุณสามารถ ซื้อ / ขายหน่วยลงทุนได้ตลอดระยะเวลาที่กองทุนนั้นยังดำเนินงานอยู่ มีสภาพคล่องสูง
แบ่งตามนโยบายการลงทุน
- กองทุนรวมตราสารทุน หรือ กองทุนรวมหุ้น มีนโยบายลงทุนในหุ้น หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้น ไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนนั้นๆ
- กองทุนรวมตราสารหนี้ มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ต่างๆ เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยจะไม่ลงทุนในตราสารทุน(หุ้น หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิ์จะซื้อหุ้น)
- กองทุนรวมผสม มีนโยบายการลงทุนใน ตราสารทุน (หุ้น) ไม่เกิน 65% และไม่น้อยกว่า 35% โดยมีการลงทุนผสมรวมกับ ตราสารหนี้ ทำให้กองทุนแบบนี้ ความเสี่ยงน้อยกว่า กองทุนรวมหุ้น เนื่องจากกระจายไปลงทุนในตราสารหนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า
- กองทุนรวมหน่วยลงทุน มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนอื่น ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับตราสารที่กองทุนนั้นเข้าไปลงทุนครับ
- กองทุนรวมตลาดเงิน มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ ที่มีคุณภาพ และ มีกำหนดชำระเงินต้นเมื่อทวงถาม หรือ อายุคงเหลือไม่เกิน 1 ปี
- กองทุนรวมมีประกัน คือ กองทุนที่มี บลจ. จัดให้สถาบันการเงินประกันต่อผู้ถือหน่วยลงทุนว่า "จะจ่ายเงินลงทุน หรือ เงินลงทุนและผลตอบแทน ตามจำนวนเงินที่ประกันไว้" (อาจจะเป็นบางส่วน หรือ ประกันทั้งจำนวน) หากผู้ถือหน่วยลงทุน ถือหน่วยลงทุนครบอายุได้ตามระยะเวลาที่ประกันกำหนด
- กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น คือ กองทุนที่ บลจ. วางแผนการลงทุนเพื่อให้ความคุ้มครองเงินลงทุนของผู้ถือหน่วยลงทุน
- กองทุนรวมดัชนี มีนโยบายการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน โดยอ้างอิงกับดัชนีของหลักทรัพย์ เช่น ดัชนี SET50 หาก ดัชนี SET50 ปรับตัวขึ้น ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้น เป็นต้น
- กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ มีนโยบายการลงทุนในตราสารที่เป็นของต่างประเทศ ซึ่งจะมีความเสี่ยงในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศแล้ว ยังมีความเสี่ยงในเรื่องภาวะตลาด หรือ ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่เข้าไปลงทุนด้วยครับ
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนที่มีจุดประสงค์ในการสงเสริมการออมระยะยาวเพื่อการเลี้ยงชีพของผู้ถือหน่วยลงทุน และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ตามที่สรรพากรกำหนดไว้ด้วยครับ
- กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มีนโยบายการลงทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้น เราจะได้ผลประโยชน์จากการซื้อกองทุนประเภทนี้คือการลดหย่อนภาษี การจะขายคืนได้จำเป็นต้องถือหน่วยลงทุนให้ครบกำหนด 5 ปีปฏิทิน นับจากปีที่ ซื้อหน่วยลงทุนนั้นครับ
- กองทุนรวมสำหรับผู้ลงทุนในต่างประเทศ คือ กองทุนที่เสนอขายหน่วยลงทุนทั้งหมดให้ผู้ที่ไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย
- กองทุนรวม ETF มีนโยบายการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีอ้างอิง โดยดัชนีอ้างอิงมีทั้งที่เป็นดัชนีราคาหลักทรัพย์ ดัชนีราคาตราสารหนี้ รวมถึงดัชนีอ้างอิงราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน หุ้น ฯลฯ ซึ่งมีลักษณะ คล้ายกับ กองทุนรวมดัชนี แต่ว่ามีคุณสมบัติคล้ายกับหุ้นในตลาดตัวหนึ่ง โดยการซื้อขายขั้นต่ำ 100 หน่วย ต่างกับกองทุน ที่ระบุขั้นต่ำเป็นจำนวนเงิน และ ETF สามารถซื้อขายผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (ไม่ใช่ บลจ.)ครับ
- กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม มีนโยบายการลงทุนเจาะจงในบางหมวดอุตสาหกรรม เพียงบางหมวด เช่น ลงทุนเฉพาะหุ้นกลุ่ม ICT ,ฺEnergy เป็นต้น
- กองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ มีนโยบายลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ โดยที่กองทุนนั้นอาจลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง หรือลงทุนในหลักทรัพย์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์หรือดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์
- กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ มีนโยบายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้ได้ผลประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ โดยมุ่งเน้นการบริหารอสังหาริมทรัพย์ให้ได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ มากกว่าการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการพัฒนาและขายต่อ
- กองทุนรวมเพื่อผู้ลงทุนที่เป็นชาวต่างด้าว คือกองทุนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับการลงทุนของชาวต่างชาติในตลาดหลักทรัพย์ โดยข้อจำกัดเดียวกับอัตราส่วนการถือหุ้นของชาวต่างชาติ
- กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีนโยบายลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่น การคมนาคม การสื่อสาร การไฟฟ้า เช่น ล่าสุดที่กำลังจะเสนอขายบุคคลทั่วไปก็คือ EGATIF
ประเภทกองทุนรวมอาจจะมีแยกย่อยไปมากกว่าที่ผมเขียนไว้ในบทความนี้ครับ เพราะ นโยบายการลงทุนยังสามารถปรับเปลี่ยนไปได้อีก หรืออาจจะผสมรวมๆกันได้อีก เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งเท่าที่ผมลองค้นหากองทุนดู บางกองทุนน่าจะอยู่ในประเภท A กลับไปอยู่ในประเภท B เช่น กรณี กองทุนรวมที่ลงทุนหุ้นในต่างประเทศ ซึ่งอาจจะคิดว่าอยู่ในกองทุนรวมตราสารทุน แต่อยู่กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศครับ
คราวหน้าเราจะมาดูวิธีค้นหากองทุนรวมกันครับ :D
วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558
กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน EGATIF (ข้อมูลเบื้องต้น)
EGATIF เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรกของประเทศไทยที่สนับสนุนโดยรัฐวิสาหกิจ โดยจะเข้าลงทุนในสิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 เป็นระยะเวลาการลงทุน 20 ปี และ EGATIF จะมีขนาดกองทุนเบื้องต้นประมาณ 20,000 ล้านบาท
จากข้อมูล จะเปิดขายหน่วยลงทุน โดยสามารถซื้อได้ที่ ธนาคารไทยพานิชย์ เบื้องต้นไปสืบมา ลงขั้นต่ำ 5,000 หน่วยครับ ราคา 10 บาทต่อหน่วย ก็เท่ากับ 50,000 บาท ครับ
สิทธิรายได้ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า คืออะไร
ผมขออธิบายตามที่ผมเข้าใจนะครับ สมมุติโรงไฟฟ้าของเอกชน จะผลิตไฟฟ้าขายให้ กฟผ. จะมีเรื่องค่าความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้า (AP) ที่ กฟผ. ต้องจ่ายเงินให้เอกชนรายนั้นตามสัญญาว่า กี่ Mega Watt โดยคิดเป็นรายชั่วโมง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการที่ กฟผ. จะดึงไฟฟ้าส่วนนั้นไปหรือยังนะครับ หรือ หมายถึงโรงไฟฟ้านั้นพร้อมหรือไม่พร้อมที่จะจ่ายไฟ ถ้าพร้อมจ่ายไฟ กฟผ. จะจ่ายเงินให้กับเอกชนรายนั้น โดยในสัญญาจะระบุด้วยว่า ถ้าไม่สามารถจ่ายไฟให้ได้ตามที่สัญญากำหนด จะต้องชดเชยตามชั่วโมงที่ไม่สามารถจ่ายไฟให้ได้
ดังนั้น รายได้ของ EGATIF ก็คือค่าความพร้อมที่อธิบายไปข้างต้นครับ
โดย EGATIF มีสัญญาจะต้องพร้อมจ่าย 670 MegaWatt และจะได้รายได้ค่าความพร้อมในการจ่ายไฟของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ ชุดที่ 1 หลังจากนั้นค่อยแบ่งสรรปันส่วนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนครับ โดยจะมีการคืนเงินต้นด้วย การคืนเงินต้นอยู่ในหัวข้อผลตอบแทนด้านล่างนะครับ
ความเสี่ยง
ความเสี่ยงในการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าฯ
ในกรณีที่โรงไฟฟ้าฯ ไม่สามารถเดินเครื่องตามชั่วโมงความพร้อมจ่ายที่ระบุไว้ในสัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่ายหรือหยุดซ่อมบำรุงไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของ EGATIF
ความเสี่ยงของการขึ้นค่าเบี้ยประกันภัย
เนื่องจากการทำประกันภัยจะต้องมีการต่ออายุเป็นรายปี ดังนั้นนักลงทุนจะมีความเสี่ยงจากค่าเบี้ยประกันภัยของโรงไฟฟ้าฯ ที่อาจปรับสูงขึ้นได้และส่งผลกระทบต่อรายได้ที่จะส่งมอบให้แก่ EGATIF
ความเสี่ยงในการไม่มีความพร้อมจ่าย
กรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้าฯ เสียหาย ซึ่งทำให้ไม่มีความพร้อมในการจ่ายไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม EGATIF จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก (BI) โดยมีระยะเวลาคุ้มครองทั้งสิ้น 24 เดือน (Indemnity Period) และมีระยะเวลาการรับผิดส่วนแรก (Deductible) สูงสุดไม่เกิน 75 วัน โดยขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
โครงสร้างรายได้ของ EGATIF
หมายเหตุ: มูลค่าในแผนผังเป็นมูลค่าประมาณการในอนาคต ดังนั้น ผลตอบแทนนักลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินงานจริงของ
ทรัพย์สิน ที่กองทุนรวมฯ เข้าลงทุนเป็นครั้งแรก
หมายเหตุ 1: อัตราส่วนที่กำหนดคำนวณจากค่าเฉลี่ยของสัดส่วนที่จะโอนให้แก่กองทุนรวมฯ ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2558 ถึง 31 มิถุนายน 2559
ภายใต้สัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่าย ค่าความพร้อมจ่าย AP1จะถูกกําหนดตาม
- อัตราค่าความพร้อมจ่าย APR1 (Availability Payment Rate 1: APR1) ซึ่งถูกกําหนดเป็นเงินบาทต่อกิโลวัตต์ตาม ชั่วโมงความพร้อมจ่ายในแต่ละปีตลอดอายุของสัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่าความพร้อมจ่าย
- กำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญา (670 เมกะวัตต์)
- จํานวนชั่วโมงของความพร้อมจ่ายตามที่ระบุไว้ในสัญญาการเข้าลงทุนในรายได้ค่า ความพร้อมจ่าย
ผลตอบแทน
EGATIF ประมาณการผลตอบแทนไว้ที่ ราวๆ 5% โดยจะปันผลให้ปีละ 2 ครั้ง แต่หากมีกำไรมากพอจะคืนเงินลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน (ทยอยๆคืนให้) โดยการลดทุน ทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนอาจลดเหลือ 0 บาทได้ครับ
เข้าซื้อขายในตลาดรอง 13 กรกฎาคม 2558 ครับ
เข้าซื้อขายในตลาดรอง 13 กรกฎาคม 2558 ครับ
สิ่งที่ EGATIF น่าสนใจคือ
- รายได้ค่าความพร้อมค่อนข้างคงที่
- โรงไฟฟ้าแห่งนี้มีดัชนีความพร้อมสูงกว่าค่าเฉลี่ยความพร้อมของโรงไฟฟ้าในอเมริกาเหนือ ซึ่งจัดทำโดย North American Electricity Reliability Corporation (NERC)
- EGATIF ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโรงไฟฟ้า ทั้งค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน และ ค่าบำรุงรักษา
- รายได้ไม่ขึ้นกับปริมาณไฟฟ้าที่จะเข้าสู่ระบบและค่าไฟฟ้า (นับแค่พร้อมจ่ายหรือไม่พร้อม)
- มีการทำประกันความพร้อมจ่าย โดยได้รับค่าสินไหมทดแทน
- ปันผลร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว และบุคคลธรรมดาได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล 10 ปี แรก
ผมแนะนำผู้ที่สนใจอ่านหนังสือชี้ชวน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจน ตามลิงค์ด้านล่างครับ
http://www.egatif.com/
และ
http://www.egatif.com/
และ
http://market.sec.or.th/public/mrap/MRAPView.aspx?FTYPE=I&PID=0303&PYR=2558
ฝากกดไลค์เพจ WealthyStoryTH ด้วยนะครับ
ฝากกดไลค์เพจ WealthyStoryTH ด้วยนะครับ
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ความอดทนน้อย จุดอ่อนของคน Gen Y
วันนี้ขอพูดถึงกลุ่มคน Gen Y (คนที่เกิดในช่วงปี 2523-2540) สักหน่อยครับ เนื่องจากคน Gen Y นี้ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยทำงานพอดี
ขอแวะไปที่ทำร้านค้าใน IG Facebook สักนิดนึง เห็นตามข่าวบ่อยๆ แม่ค้าวีนลูกค้า (เป็นซะอย่างนั้น) คือจะเป็นแม่ค้า ขายสินค้า ลูกค้าออนไลน์ เค้ามีเวลาเยอะกว่าพวกที่มาเดินๆซื้อตามตลาดมากนะครับ ลูกค้าข้องใจอะไร ก็ต้องถามขอรายละเอียดเป็นปกติ ถามเรื่องสินค้าตอน 6 โมงเช้า ยังโดนวีนผมละไม่อยากเชื่อ ความอดทนไปไหนกันหมด สุดท้ายแม่ค้าโดนสังคมประนามกันเลยทีเดียว ถึงกับต้องปิดร้านหรี หรือเปลี่ยนชื่อร้านกันเลย แถมมีแม่ค้าบางร้าน รายละเอียดสินค้าไม่รู้ ถามนั่นไม่รู้ ถามนี่ไม่รู้ แล้วใครเค้าจะอยากมาซื้อกันละครับ บางทีตอบมาแบบไม่รู้ๆ ถ้าไม่จริง ลูกค้าจะหาว่าเราหลอกเขานะครับ เพราะฉะนั้น เป็นแม่ค้าออนไลน์ ก็ต้องมีความรู้ในตัวสินค้าให้มากๆอีกเช่นกัน
คนกลุ่มนี้เติบโตมาพร้อมกับ Technology ซึ่งต้องการความรวดเร็ว ไม่ชอบทำอะไรที่ช้าๆ นานๆ ผมว่าด้วยเหตุนี้ Gen Y จึงมีจุดอ่อนก็คือ ความอดทนน้อย
ยกตัวอย่างเช่น อยากประสบความสำเร็จเร็วๆ อยากรวยเร็วๆ แบบที่ไม่ต้องเรียนรู้มาก อยากได้เงินเดือนเยอะๆ โดยที่ประสบการณ์ยังน้อย ความอดทนต่ำในการทำงานร่วมกับผู้อื่น
จากตัวอย่างแต่ละข้อที่กล่าวมา คน Gen Y
ที่เป็นมนุษย์เงินเดือนอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเบื่องานได้ง่าย เปลี่ยนงานบ่อยๆ (จุดประสงค์อาจจะทั้งเบื่อและ เงินเดือนได้เพิ่มขึ้น) ทำงานจะให้เสร็จๆไปโดยเร็ว ขาดความละเอียดรอบครอบ ความผิดพลาดในงานก็มีสูง ทำให้องค์กรเสียหายได้ (อย่างน้อยก็ต้นทุนเรื่องเวลา)
จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้น พร้อมกับเบื่องานแล้ว เลยหนีดีกว่า บางคนก็จะออกไปทำธุรกิจส่วนตัวบ้าง หรือบางคนก็ออกมา full time trader หรือเป็นนักเล่นหุ้นแบบเต็มเวลา หรือ สรุปง่ายๆว่า ทำไงก็ได้ให้เป็นเจ้านายตัวเอง หรือ ไม่ต้องมีคนมาคอยควบคุม และต้องการหาเงินแบบง่ายๆไปพร้อมๆกัน
ฟังดูเหมือนน่าจะง่ายๆไม่มีอะไร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจก็ทำได้ มีเงินทุนแล้ว อยากนั่งเล่นหุ้นอยู่บ้านก้ได้ มีเงินทุนแล้ว อะไรมันจะง่ายขนาดนั้น การที่มีเงินทุนเป็นใบเบิกทางอยู่แล้วมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่าานั้น
ขอยกตัวอย่างฝั่งธุรกิจครับ การทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ถ้ามีแค่เงินก็สามารถทำได้สำเร็จแล้วผมว่าไม่ใช่ครับ สมมุติว่าร้านกาแฟบูมมาก ใครๆก็เปิดร้านกาแฟ มีเงินเพียงพอก็เปิดได้ เลยจะเปิดร้านกาแฟบ้าง
คิดแบบนี้ก็แย่แล้วครับ เพราะว่าคิดจะกระโดดเข้าไปในธุรกิจที่การแข่งขันสูงแบบนั้น เพราะใครๆเขาก็ทำกัน ถ้าประสบการณ์น้อย เงินทุนมีไม่เยอะพอ เลือกทำเลไม่เป็น การตลาดก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีอะไรแปลกแตกต่าง ร้านกาแฟคุณจะไปรอดมั้ยครับ และการจะเปิดร้านอาหารหรือสินค้าที่เป็นของกินแบบนี้ คุณต้องมีความพิถีพิถันในการทำนะครับ จะไว้ใจลูกจ้างชงกาแฟรสชาติไม่คงที่ เพื่อแลกกับเงินที่ลูกค้ายอมจ่ายมา ก็อาจจะไม่คุ้มค่า เพราะไม่อร่อยใครจะมาซื้อซ้ำอีกล่ะครับ ยิ่งข่าวร้ายดังกว่าไปไวกว่าข่าวดี ทีนี้เป็น viral marketing เลย ร้านนี้ไม่อร่อยเลยอะ ลูกค้าหายกำไรหด ฉะนั้นอย่างน้อย ถ้าจะเปิดร้านอะไร คุณก็ต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นมากๆ
แม้แต่การจ้างบาริสต้าเก่งๆมาประจำร้านเอง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดี ถ้าบาริสต้าคนนั้นลาออกไป หรือโดนร้านอื่นในละแวกนั้นซื้อตัวไป ร้านคุณจะทำยังไงดีครับ
ส่วนที่นั่งเล่นหุ้นอยู่บ้าน อันนี้ความเสี่ยงอยู่ที่ความไม่รู้ หรือ ความรู้และประสบการณ์น้อย เช่นกันครับ หากเล่นหุ้นตามข่าว คุณก็จะไม่มีวันชนะใครเลย เพราะคุณรู้ข่าว คนอื่นเค้าก็รู้ด้วย (ยกเว้นวงใน 555 ถ้ามีเพื่อนสนิทอยู่วงในก็แล้วไป)
แต่ถ้าคุณบอกจะเล่นแบบเทคนิค วิเคราะห์กราฟ ก็ต้องไปหาความรู้ซะก่อนว่า ตอนไหนต้องซื้อ ตอนไหนต้องขาย ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คิด คุณกล้า Cut Loss ใช่มั้ย เพราะมีคนที่ต้องเอาเงินไปจมกับหุ้นติดดอยสูงๆ เนื่องจากไม่ยอม Cut Loss นี่แหละครับ ผลสุดท้ายก็จำใจเป็นนักลงทุนหุ้นเน่าระยะยาว ฮ่าๆ เพราะเล่นแบบเทคนิค แล้วไม่ได้สนใจพื้นฐานของหุ้น ขอเพียงแต่ให้ราคามันวิ่ง ก็จะได้ถือหุ้นเน่าๆแบบนี้แหละครับ
ผมอาจจะยกตัวอย่างได้ไม่หมดทุกมุมมอง แต่ก็พอจะเห็นได้ว่า การที่จะเป็นนายตัวเองนั้นไม่ได้ง่าย สวยหรูตามที่เราคิดไวเสมอไปนะครับ เพราะมันเต็มไปด้วย อุปสรรคมากมาย ความเสี่ยงหลายๆด้าน และความอดทนที่ต้องมีมากๆ อดทนที่จะฟันฝ่าอุปสรรค อดทนที่จะเรียนรู้ อดทนเพื่อความสำเร็จ
ดังนั้นแล้ว ถ้าผมอยากจะแนะนำก็คือ ถ้าหาตัวเองเจอแล้วว่าคุณอยากจะทำอะไร อยากเป็นเจ้าของธุรกิจอะไร ลองไปเป็นลูกจ้าง ในธุรกิจนั้นๆก่อนครับ ไปเป็นเพื่อให้รู้ว่า ธุรกิจนี้ทำงานกันยังไง เขาเจอปัญหาอะไรบ้าง ลองช่วยคิดและเสนอวิธีแก้ปัญหา ในวันนึงที่คุณคิดว่า มีความรู้และประสบการณ์มากพอแล้ว คุณจะออกมาลองเปิดธุรกิจนั้นๆดูบ้าง ก็คงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าทำไปแบบไม่มีความรู้อะไรเลย จริงไหมครับ
"คงไม่มีคนไหนที่จะประสบความสำเร็จง่ายๆ โดยที่เขาไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย"
วันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ขอบคุณความจน?? ที่จะทำให้เราไม่จน
ใครเคยโทษโชคชะตาที่เราเกิดมาจน เกิดมาแล้วไม่มีเหมือนคนอื่นๆ บ้างมั้ยครับ ?
จริงๆ เกิดมาจน เกิดมาไม่มีเหมือนคนอื่น ก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ
ผมมองว่ามันเป็นเรื่องโชคดีซะอีก
ผมมองว่ามันเป็นเรื่องโชคดีซะอีก
ลองคิดดูครับ คนที่มีพร้อมทุกอย่าง พ่อแม่หาให้ทุกอย่าง เค้าจะเก่งได้อย่างไร เค้าจะเคยล้มเหลวมั้ย หรือพ่อแม่จะประครองเค้าไปตลอดชีวิต
คนเราพอไม่เดือดร้อนอะไร เราก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขวนขวาย ไม่ได้เสาะแสวงหา ไม่ได้คิดจะพัฒนา ไม่มีเป้าหมายที่ท้าทาย(พ่อแม่ช่วยทุกอย่าง)
กลับกันครับ คนที่ไม่ได้มีพร้อมตั้งแต่เกิด ต้องช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน หรือหนักหน่อย ต้องทำงานเลี้ยงปากท้องตัวเอง หรือ คนในครอบครัว ก็จะเจอปัญหาเยอะกว่า เคยแก้ปัญหามากกว่า ที่สำคัญทำให้ประสบการณ์มากกว่า
ส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้ว่า "จะไม่ยอมลำบากแบบนี้อีกเป็นอันขาด" (ถ้าเขาคิดได้ว่าต้องตั้งเป้าหมายนะครับ) ใช่ครับ มันเหนื่อย มันยาก แต่เป้าหมายที่เจ๋ง ก็ต้องมีวิธีการเดินทางไปยังเป้าหมายที่ดีด้วย ถึงมันจะเหนื่อย มันจะยาก ถ้าวางแผนดี อาจจะมองเห็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก่อน เราก็พอจะคิดล่วงหน้าไว้ก่อนว่าจะรับมือปัญหานั้นอย่างไรดี
คนเหล่านี้ ถ้าไม่ท้อใจ ล้มแล้วไม่ลุกขึ้นยืนใหม่ โทษโชคชะตาเสียก่อนที่จะพยายามใหม่ ก็น่าจะเป็นคนนึงที่ประสบความสำเร็จในชีวิตได้ครับ หากไม่ถึงขั้นนั้น อย่างน้อยเค้าก็จะไม่ลำบากเหมือนก่อน มีประสบการณ์ไว้สอนลูกหลาน
แต่หากเราตายไปทั้งที่ยังจนอยู่ อย่าไปโทษโชคชะตาครับ โทษตัวเราเองดีกว่า เพราะทั้งชีวิตคุณทำอะไรอยู่ ไม่มีการพัฒนาตนเอง ไม่มีการเพิ่มรายได้ แต่ถึงตอนนั้นก็สายเสียแล้วล่ะครับ
ไม่อยากจนก็ต้องมีความคิดที่มีการพัฒนาด้วยครับ
ปล.ถ้าชอบแชร์ได้เลยครับ
fb.com/WelathyStoryTH
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ใช้บัตรเครดิตอย่างไรให้ฉลาด
ช่วงสัปดาห์นี้อ่านข่าวเจอเรื่องสินเชื่อ การผิดนัดชำระ หนี้ NPL สูงขึ้น และอีกมากมาย จริงๆเรื่องบัตรเครดิตมีไว้ไม่เสียหาย (จะเสียหายก็ตอน sale โทรมาขายของนี่แหละครับ ฮ่าๆ เพราะได้ข้อมูลส่วนตัวเราไป) แต่ถ้ามีบัตรเครดิตแล้วใช้จ่าย ผ่อนของไม่จำเป็นกันอย่างเพลิดเพลิน คงไม่ดีแน่ครับ
ผมเคยยกตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตให้ดูแล้วนะครับ (Link)
ด้วยบัตรเครดิตมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 20% ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดชำระ ดอกเบี้ยจะเริ่มถูกคิดทันทีครับ
อย่างไรก็ตามการมีบัตรเครดิตอยู่ในมือก็เป็นการเสี่ยงที่จะมีหนี้บานปลายได้ หากท่านไม่สามารถควบคุมจิตใจในการใช้จ่ายได้ ไม่มีวินัยในการใช้จ่าย นึกอยู่เสมอครับว่า จำเป็นไหม ? ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ คิดเสมอว่า อย่าปล่อยให้เกิดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด อันตรายหนักมาก T^T 20% ++ ต่อปี ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดทำการยังแค่ 12% เท่านั้นเองครับ
ปล.ผมไม่สนับสนุนให้มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และดอกแพงๆแบบนี้นะครับ
ผมเคยยกตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตให้ดูแล้วนะครับ (Link)
ด้วยบัตรเครดิตมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ประมาณ 20% ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดชำระ ดอกเบี้ยจะเริ่มถูกคิดทันทีครับ
"บัตรเครดิตเป็นตัวที่ทำให้เราเสียความมีวินัย อย่างร้ายแรงเลยครับ เพราะมันให้เราใช้เงินในอนาคตได้ การเงินปัจจุบันจะแย่ลงทันตาในเดือนถัดไป เพราะต้องเอาเงินปัจจุบันไปจ่ายหนี้ที่ใช้ไปเดือนที่แล้วยังไงล่ะ"
ใช้บัตรเครดิตให้ฉลาด มันเป็นอย่างไร
1. เก็บวงเงินไว้ใช้ยามจำเป็นจะดีกว่า
ความจำเป็นที่ว่า เช่น เจ็บป่วย อุบัติเหตุ เข้าโรงพยาบาล คือ ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้นะครับ คุณแม่เข้าโรงพยาบาล ต้องรักษาตัวอยู่หลายวัน พอวันที่จะออกจากโรงพยาบาล ต้องชำระเงินแล้วเงินสดผมก็มีไม่ถึง (เพราะว่าหักเก็บออมไปหมดแล้ว เหลือไว้แค่พอใช้ในเดือนนั้น) ก็ต้องพึ่งบัตรเครดิตเพราะเหตุนี้ครับ"หากมีบัตรแล้วจะทำให้เราจำเป็นบ่อยขึ้น หากเป็นเช่นนั้นไม่ควรทำบัตรเครดิตดีกว่าครับ ด้วยการที่เราหักห้ามใจไม่ได้ วินัยจะเสียซ้ำสอง อาจจะตามด้วยหนี้ และมีของแถมเป็นดอกเบี้ยแสนแพง"
2. หากจะผ่อน ผ่อนเฉพาะ 0% เท่านั้น และควรจะผ่อนทีละอย่าง
เพราะว่า ยิ่งผ่อนหลายอย่าง ยิ่งทำให้จน ของก็เสื่อมสภาพไป หนี้ก็ใช้ยังไม่หมด หลายผลิตภัณฑ์ จัดโปรโมชัน ผ่อน 0% จะกี่เดือนก็ว่าไปกันไป หลอกล่อให้เราเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น เจอกรณีแบบนี้ต้องตั้งสติเข้าไว้ครับ จำเป็นหรือไม่ หรือแค่ต้องการ ถามตัวเองหลายๆรอบครับ3. ถ้าไม่ได้ผ่อน กรุณาชำระหนี้เต็มจำนวน
หากคิดว่าไม่สามารถชำระหนี้เต็มจำนวนได้ กรุณาอย่าใช้บัตรเครดิต อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นเรื่องอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต 20% เยอะมากนะครับ และไม่ใช่ว่าการจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ หนี้ของคุณจะหมดใน 10 เดือนนะ (ชำระขั้นต่ำ 10%) ลองดูตัวอย่างการคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ผมแปะลิงค์ไว้ด้านบนครับ ถ้าคุณจ่ายขั้นต่ำไปเรื่อยๆ คงต้องจ่ายจนสิ้นลมหายใจแน่ๆ4.ใช้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
ใช้บัตรเครดิตแล้วมี ส่วนลด ได้คะแนนสะสม นำมาแลกของรางวัลได้ และอีกเรื่องคือ ถ้าจะซื้อของผมจะรูดซื้อหลังจากวันตัดยอด 1 วัน เพราะจะทำให้คุณมีเวลาเพิ่มขึ้นอีก 15 วันในการครบกำหนดจ่ายครั้งหน้า5.อย่าใช้เพราะเห็นแก่คะแนนสะสมเพียงอย่างเดียว
กรุณาคิดถึงภาระหนี้ด้วย คะแนนสะสมไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้น แต่หนี้ทำให้คุณจนลง อย่างเช่นโปรโมชัน ซื้อเท่านั้น ได้แต้ม x2 ซื้อเท่านี้ ได้แต้ม x5 ประมาณนี้ครับ คือถ้าสินค้าชิ้นนั้นไม่ได้จำเป็นกับเรา เราต้องเสียตังเพื่อแลกแต้มมั้ยครับ ?? ผมพูดถึงคะแนนสะสมเพื่อให้เห็นภาพโปรโมชันที่มีจริงๆนะครับ หากรวมๆแล้วก็คือโปรโมชันที่คอยมาดูดเงินเรานี่แหละครับ บางท่านรูดเพลิน เดือนหน้าก็เป็นมนุษย์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีก กินบ่อยๆไม่ดีนะครับ ผมร่วงหมด แย่เลย6.ชำระหนี้ให้ตรงกำหนดทุกงวด
เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ไม่เกิดดอกเบี้ย แถมประวัติทางการเงินที่ดีอีกด้วย ซึ่งประวัติทางการเงินที่ดี สามารถช่วยให้คุณขอกู้ ได้ง่ายขึ้น แน่นอนว่า ผมแนะนำให้เป็นการกู้เพื่อที่อยู่อาศัย หรือ กู้เพื่อสร้างรายได้ในอนาคต เช่น สร้างกิจการ เป็นต้นอย่างไรก็ตามการมีบัตรเครดิตอยู่ในมือก็เป็นการเสี่ยงที่จะมีหนี้บานปลายได้ หากท่านไม่สามารถควบคุมจิตใจในการใช้จ่ายได้ ไม่มีวินัยในการใช้จ่าย นึกอยู่เสมอครับว่า จำเป็นไหม ? ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องจ่าย ไม่ต้องซื้อ คิดเสมอว่า อย่าปล่อยให้เกิดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยบัตรเครดิต/บัตรกดเงินสด อันตรายหนักมาก T^T 20% ++ ต่อปี ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นตั้งแต่เปิดทำการยังแค่ 12% เท่านั้นเองครับ
ปล.ผมไม่สนับสนุนให้มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และดอกแพงๆแบบนี้นะครับ
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
รักความสบายมากเกินไป ศัตรูตัวร้ายของชีวิต
หัวข้อนี้รุนแรงมากๆ ฮ่าๆ ใครๆก็รักสบายครับ ผมก็ชอบความสบายมากๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมีมันทุกเวลาของชีวิต
"คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยไม่เกิน 8 บรรทัด" ใครอ่านได้เกินแสดงว่าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและ สมมุตว่าอ่านได้ 9 บรรทัด (ภูมิใจไหม)
คนไทยสนใจเรื่องความบันเทิง มากกว่าการพัฒนาตนเอง ? (เล่นเกม ดูหนัง ติดซีรีย์ บลาๆๆ)
2 เรื่องที่ยกตัวอย่างมาก็ค่อนข้างมีผลกระทบต่อชีวิตบ้างแล้วครับ
แล้วความสบายมาเกี่ยวยังไง?
ผมขอพูดเป็นอีกคำนึงแทนแล้วกันครับ รักสบายมากเกินไป = กลัวลำบาก อะไรที่ดูแล้วจะทำให้เราลำบากแน่ๆ เช่น วันหยุด เวลามากๆ งานไม่ต้องทำ นอน ดูหนังหาความเพลิดเพลินให้ตัวเอง แทนที่จะหาหนังสือมาอ่าน หรือศึกษาความรู้เพิ่มเติม เพราะว่า อ่านแล้วหลับแน่ๆ ศึกษาอะไรเพิ่มเติม ปวดหัวไม่เอาดีกว่า (เป็นข้ออ้างกับตัวเอง และก็อนุมัติให้ตัวเองขี้เกียจซะอย่างนั้น)
หรือ เรื่องเก็บเงิน คนทั่วๆไป ที่น่าจะยากจน คงคิดว่า "เก็บไปแล้วเดือนนี้จะใช้อะไรล่ะ มันไม่พอใช้" ไม่พอใช้ผมไม่ว่านะ แต่ถามว่า
ถ้าทำทั้งหมดแล้วยังไม่พอใช้ คุณก็ต้องพัฒนาตนเอง ให้มีความสามารถ อัพเงินเดือนให้ตัวเอง สร้างมูลค่าให้ตัวเอง องค์กรไหนเค้าก็สู้เงินเดือน ถ้าคุณเก่ง ขยันทำงาน และทำประโยชน์มากมายให้กับองค์กร
แต่สำหรับคนที่น่าจะจนยาก คงคิดว่า
ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า ผมว่าจริง สละเวลาพักผ่อนหย่อนใจธรรมดา เป็นอ่านหนังสือหาความรู้ด้วย แถมพักผ่อนหย่อนใจได้อีก (อันนี้ผมเป็น เพราะว่า รู้สึกมีความสุขมาก เวลาอ่านหนังสือแล้วเข้าใจ ฮ่าๆ) รู้ก่อน ทำได้ก่อน ก็ได้เปรียบกว่า คุณจะรู้ข้อผิดพลาดก่อน จริงๆคุณไปบอกคนอื่นต่อได้ แต่ถ้าเขาไม่เจอเอง ก็จะไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอกครับ
ใครยังรักสบาย ยังกลัวลำบาก ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรครับ คุณอยู่กับที่ของคุณนั่นแหละ รอดูคนอื่นแซงหน้าคุณไปเรื่อยๆ จนคนรุ่นหลังก็แซงไป รอให้คนแซงหน้าคุณไปจนคุณนึกขึ้นได้ว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าคิดและทำได้ตอนนี้ก็น่าจะไม่สายนะครับ :D
วันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี้ ทดลองสละเวลาแห่งความบันเทิง มาเป็นเวลาแห่งการเพิ่มความรู้ดูครับ จะนั่งอ่าน blog WealthyStory หรือหนังสือเล่มที่สนใจก็ไม่ว่ากันครับ ถ้าอย่างน้อยคุณก็เริ่มจะกระโดดออกมาจาก comfort zone อันแสนสบาย ของคุณได้บ้างแล้ว
"คนไทยอ่านหนังสือเฉลี่ยไม่เกิน 8 บรรทัด" ใครอ่านได้เกินแสดงว่าอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยและ สมมุตว่าอ่านได้ 9 บรรทัด (ภูมิใจไหม)
คนไทยสนใจเรื่องความบันเทิง มากกว่าการพัฒนาตนเอง ? (เล่นเกม ดูหนัง ติดซีรีย์ บลาๆๆ)
2 เรื่องที่ยกตัวอย่างมาก็ค่อนข้างมีผลกระทบต่อชีวิตบ้างแล้วครับ
แล้วความสบายมาเกี่ยวยังไง?
ผมขอพูดเป็นอีกคำนึงแทนแล้วกันครับ รักสบายมากเกินไป = กลัวลำบาก อะไรที่ดูแล้วจะทำให้เราลำบากแน่ๆ เช่น วันหยุด เวลามากๆ งานไม่ต้องทำ นอน ดูหนังหาความเพลิดเพลินให้ตัวเอง แทนที่จะหาหนังสือมาอ่าน หรือศึกษาความรู้เพิ่มเติม เพราะว่า อ่านแล้วหลับแน่ๆ ศึกษาอะไรเพิ่มเติม ปวดหัวไม่เอาดีกว่า (เป็นข้ออ้างกับตัวเอง และก็อนุมัติให้ตัวเองขี้เกียจซะอย่างนั้น)
หรือ เรื่องเก็บเงิน คนทั่วๆไป ที่น่าจะยากจน คงคิดว่า "เก็บไปแล้วเดือนนี้จะใช้อะไรล่ะ มันไม่พอใช้" ไม่พอใช้ผมไม่ว่านะ แต่ถามว่า
- คุณใช้เงินฟุ่มเฟือยหรือเปล่า
- ลองลดค่าใช้จ่ายของคุณหรือยัง หรือ
- เริ่มต้นง่ายๆ ทำบัญชีรับ-จ่าย ได้กี่วันแล้ว
ถ้าทำทั้งหมดแล้วยังไม่พอใช้ คุณก็ต้องพัฒนาตนเอง ให้มีความสามารถ อัพเงินเดือนให้ตัวเอง สร้างมูลค่าให้ตัวเอง องค์กรไหนเค้าก็สู้เงินเดือน ถ้าคุณเก่ง ขยันทำงาน และทำประโยชน์มากมายให้กับองค์กร
แต่สำหรับคนที่น่าจะจนยาก คงคิดว่า
- พิจารณารายรับรายจ่าย เดือนนี้เราซื้ออะไรมากเกินไป เดือนหน้าลองลดดูนะ
- หาหนังสือพัฒนาตนเองมาอ่านสักหน่อย เพิ่มความสามารถในการทำงาน
ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า ผมว่าจริง สละเวลาพักผ่อนหย่อนใจธรรมดา เป็นอ่านหนังสือหาความรู้ด้วย แถมพักผ่อนหย่อนใจได้อีก (อันนี้ผมเป็น เพราะว่า รู้สึกมีความสุขมาก เวลาอ่านหนังสือแล้วเข้าใจ ฮ่าๆ) รู้ก่อน ทำได้ก่อน ก็ได้เปรียบกว่า คุณจะรู้ข้อผิดพลาดก่อน จริงๆคุณไปบอกคนอื่นต่อได้ แต่ถ้าเขาไม่เจอเอง ก็จะไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอกครับ
ใครยังรักสบาย ยังกลัวลำบาก ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรครับ คุณอยู่กับที่ของคุณนั่นแหละ รอดูคนอื่นแซงหน้าคุณไปเรื่อยๆ จนคนรุ่นหลังก็แซงไป รอให้คนแซงหน้าคุณไปจนคุณนึกขึ้นได้ว่า ทำไมตอนนั้นเราไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าคิดและทำได้ตอนนี้ก็น่าจะไม่สายนะครับ :D
วันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี้ ทดลองสละเวลาแห่งความบันเทิง มาเป็นเวลาแห่งการเพิ่มความรู้ดูครับ จะนั่งอ่าน blog WealthyStory หรือหนังสือเล่มที่สนใจก็ไม่ว่ากันครับ ถ้าอย่างน้อยคุณก็เริ่มจะกระโดดออกมาจาก comfort zone อันแสนสบาย ของคุณได้บ้างแล้ว
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
สร้างวินัยการลงทุน ด้วยเทคนิคการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging (DCA)
หลังจากที่เราเริ่มสร้างวินัยของเราด้วยการออมแล้ว โดยเก็บเงินออมทุกๆเดือน เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ต่อไปเรามารู้จักกับเทคนิคการลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging (DCA) สร้างวินัยได้อย่างไร
โดยเทคนิคการลงทุนแบบ DCA นั้น จะไม่สนใจราคาของหน่วยลงทุนนั้นๆ โดยเราจะได้หน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน ลองดูรูปตัวอย่างครับ
สังเกตุในส่วน Hi light สีแดงครับ จะเป็นช่วงราคาขาลง ในเดือนที่ 8 ราคาอยู่ที่ 9 บาท แต่ต้นทุนเฉลี่ยเราอยู่ที่ 10.88 บาท (ขาดทุน) หากเกิดราคาอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานานมากๆ ควรจะควบคุมจิตใจให้ดีครับ ถ้าเลือกถูกตัวแล้ว ไม่ต้องขายครับ
แต่สุดท้ายหากตลาดกลับมาเป็นปกติแล้ว เราก็ยังจะมีโอกาสชนะตลาดอยู่ครับ
ข้อดีของเทคนิค DCA นี้ก็คือ เราจะไม่ต้องปวดหัวกับราคาที่ผันผวน เราจะมีหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน สะสมไปเรื่อยๆ และหากเป็นราคาช่วงขาขึ้นต้นทุนที่เกิดขึ้นจะเป็นต้นทุนเฉลี่ย พอที่จะชนะตลาดได้ หากเป็นราคาช่วงขาลงการใช้เทคนิคนี้จะทำให้ขาดทุนได้น้อยกว่า การลงทุนจำนวนเงินมากๆในครั้งเดียว อีกข้อที่สำคัญก็คือ สร้างความมีวินัยในการลงทุนให้เราได้จริงๆครับ
เทคนิคการลงทุนแบบ DCA นี้สามารถใช้ได้กับทั้ง หุ้น และ กองทุนรวม ครับ เลือกที่เหมาะสม และที่เราเข้าใจมากที่สุด เพื่อปิดความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่รู้ของเราครับ
Note:เทคนิคการลงทุนแบบ DCA นั้นคุณผู้อ่านจำเป็นต้องเลือกลงทุนในหน่วยลงทุนที่มีคุณภาพ ถ้าหากพูดในมุมมองของหุ้น คือ คุณจะต้องเลือกเป็นเจ้าของธุรกิจที่ มีการบริหารที่ดี มีกำไร และเติบโตอยู่เสมอ เพราะจะทำให้คุณมั่นใจได้ส่วนหนึ่ง ว่าเราน่าจะสามารถโตไปกับบริษัท หรือ กองทุนที่เราเข้าไปลงทุนได้ครับ
Dollar Cost Averaging (DCA)
เทคนิคการลงทุนนี้คือ ใช้เงินจำนวนเท่าๆกัน ในการซื้อหน่วยลงทุน ถัวกันไปทุกๆเดือน สังเกตว่า จะมีลักษณะคล้ายๆกับการเก็บออมเงิน เท่าๆกันทุกๆเดือน (สูตรสำเร็จการออมเงิน [รายรับ - เงินออม= รายจ่าย])โดยเทคนิคการลงทุนแบบ DCA นั้น จะไม่สนใจราคาของหน่วยลงทุนนั้นๆ โดยเราจะได้หน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน ลองดูรูปตัวอย่างครับ
สังเกตุในส่วน Hi light สีแดงครับ จะเป็นช่วงราคาขาลง ในเดือนที่ 8 ราคาอยู่ที่ 9 บาท แต่ต้นทุนเฉลี่ยเราอยู่ที่ 10.88 บาท (ขาดทุน) หากเกิดราคาอยู่ในช่วงขาลงเป็นเวลานานมากๆ ควรจะควบคุมจิตใจให้ดีครับ ถ้าเลือกถูกตัวแล้ว ไม่ต้องขายครับ
แต่สุดท้ายหากตลาดกลับมาเป็นปกติแล้ว เราก็ยังจะมีโอกาสชนะตลาดอยู่ครับ
ข้อดีของเทคนิค DCA นี้ก็คือ เราจะไม่ต้องปวดหัวกับราคาที่ผันผวน เราจะมีหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆเดือน สะสมไปเรื่อยๆ และหากเป็นราคาช่วงขาขึ้นต้นทุนที่เกิดขึ้นจะเป็นต้นทุนเฉลี่ย พอที่จะชนะตลาดได้ หากเป็นราคาช่วงขาลงการใช้เทคนิคนี้จะทำให้ขาดทุนได้น้อยกว่า การลงทุนจำนวนเงินมากๆในครั้งเดียว อีกข้อที่สำคัญก็คือ สร้างความมีวินัยในการลงทุนให้เราได้จริงๆครับ
เทคนิคการลงทุนแบบ DCA นี้สามารถใช้ได้กับทั้ง หุ้น และ กองทุนรวม ครับ เลือกที่เหมาะสม และที่เราเข้าใจมากที่สุด เพื่อปิดความเสี่ยงที่เกิดจากความไม่รู้ของเราครับ
Note:เทคนิคการลงทุนแบบ DCA นั้นคุณผู้อ่านจำเป็นต้องเลือกลงทุนในหน่วยลงทุนที่มีคุณภาพ ถ้าหากพูดในมุมมองของหุ้น คือ คุณจะต้องเลือกเป็นเจ้าของธุรกิจที่ มีการบริหารที่ดี มีกำไร และเติบโตอยู่เสมอ เพราะจะทำให้คุณมั่นใจได้ส่วนหนึ่ง ว่าเราน่าจะสามารถโตไปกับบริษัท หรือ กองทุนที่เราเข้าไปลงทุนได้ครับ
ป้ายกำกับ:
การลงทุน,
วินัยการลงทุน,
DCA,
Dollar Cost Averaging
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
6 สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนการลงทุน
ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ผมมีข้อแนะนำในแบบฉบับของผม ดังนี้ครับ
1. เตรียมเงินสำรองในกรณีฉุกเฉินก่อน
จากที่เคยเขียนไว้ในเรื่องการออมเงินครับ เราควรจะมีเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉินอย่างน้อยต้องเท่ากับ 6 เท่า ของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เสมือนการเตรียมแผนสำรอง เมื่อเกิดเหตุที่จำเป็นต้องใช้เงิน จะได้ไม่ต้องดึงเงินที่เราลงทุนไปแล้วออกมาใช้ก่อน เพราะเสี่ยงต่อการขาดทุนมากกว่า2. ใช้เงินเย็นในการลงทุน
เหตุผลคล้ายกับข้อแรกครับ การลงทุนระยะยาวมากๆ ความเสี่ยงในเรื่องความผันผวนก็จะลดลงไปมาก ฉะนั้น เงินที่ใช้ลงทุนควรเป็นเงินเย็น เงินที่เราไม่จำเป็นต้องนำมาใช้อะไรเลย นอกจากการลงทุนครับ3. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนให้มาก และเพิ่มพูนความรู้นั้นอย่างสม่ำเสมอ
เราสามารถจำกัดความเสี่ยงของการลงทุนได้ด้วย การเพิ่มความรู้ในการลงทุนให้กับตัวเราก่อนที่จะลงทุน เหมือนกับคำพูดของ Warren Buffet ที่ว่า "Risk comes from not knowing what you're doing." หรือ "ความเสี่ยงมาจากการที่ไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร" ฉะนั้น ไม่อยากเสี่ยง หรือไม่อยากเจ๊ง ก็ต้องเพิ่มความรู้ไว้ก่อนนะครับ อย่างน้อย ควรจะรู้วิธีเลือกหุ้นตัวไหน หรือกองทุนไหนมาเข้าพอร์ตดี4. ต้องรู้ถึงความเสี่ยงที่สามารถรับได้
ก่อนที่จะเปิดพอร์ตการลงทุน จะมีการประเมินความเสี่ยง ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด และจะจำกัดให้คุณลงทุนในสินทรัพย์ได้ไม่เกินความเสี่ยงที่คุณรับได้ หากการลงทุนมีความเสี่ยงมากเกินไป แนะนำให้ฝากประจำดอกเบี้ยสูงแทนครับ (จะปลอดภาษีก็ดีครับ)
5. กำหนดจุดประสงค์ของการลงทุนของคุณ
จุดประสงค์ของการลงทุน จะทำให้การเลือกลงทุน เหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น เพื่อสร้างรายได้ให้เราในอนาคต ,เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติ หรือ เป็นที่พักเงินที่ดีกว่าฝากธนาคาร ,เพื่อลดหย่อนภาษี เป็นต้น ไม่ใช่ว่า "เพื่อสร้างรายได้ให้เราในอนาคต" พอเห็นราคาขึ้นปุ๊ปขายทันที อันนี้ผมว่าผิดจุดประสงค์แล้วครับ ฮ่าๆ
6. มีเวลาติดตามผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
การติดตามผลการลงทุน เหมือนกับการตรวจสุขภาพพอร์ตการลงทุนของเราครับ ว่ายังมีสุขภาพที่ดีอยู่ไม่ ผลตอบแทนยังมีแนวโน้มเป็นไปตามที่คาดหวังอยู่ไหม กำหนดระยะเวลาให้เหมาะสมกับ สินทรัพย์ที่เลือกลงทุนไปด้วยครับ เช่น ลงทุนในหุ้น อาจจะตามผลจากงบการเงิน รายไตรมาส เป็นต้นครับ
"การลงทุนควรอยู่ในกรอบที่เราสามารถควบคุมได้ พยายามปิดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นออกไปให้ได้มากที่สุด ทำตามจุดประสงค์ของการลงทุน และติดตามผลงานอย่างสม่ำเสมอ เริ่มต้นได้ขนาดนี้ ความสำเร็จของเราก็อยู่ไม่ไกลจนเกินไปครับ"
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ข้อเสียในการเก็บเงินออมเพียงอย่างเดียว (อ่าว? เก็บเงินแล้วยังจะมีข้อเสียอีกหรอ)
ท่านผู้อ่านเห็นหัวข้อแล้วอาจจะสงสัยครับ ทำไมการออมเงินเพียงอย่างเดียวถึงมีข้อเสีย เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ครับ แต่ยืนยันได้เลยว่า เสียน้อยกว่าคนที่ไม่เก็บออมเงินเลย
ขอทบทวนพื้นฐาน หรือหลักการที่เราควรจะมีในการเก็บออม
- มีวินัยในการเก็บเงิน แบ่งเงินเดือน หรือรายได้ต่อเดือน มาเก็บสักส่วนหนึ่ง สัก 10-20% ของเงินเดือนหรือรายได้ต่อเดือน ก่อนที่จะนำไปใช้จ่าย เป็นประจำทุกๆเดือน จะมากกว่านี้ก็ยินดีครับ :D
- ควรจะเก็บออมเงินให้ได้ อย่างน้อยเป็น 6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน เช่น รายจ่ายต่อเดือน 12,000 บาท ควรเก็บให้ได้ 72,000 บาท (12,000 x 6) เพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน หรือตกงานได้ 6 เดือน จะเรียกว่าก๊อกสองก็ได้ครับ
ข้อเสียของการเก็บเงินออมเพียงอย่างเดียว
มีสาเหตุมาจาก "เงินเฟ้อ" (Inflation) ครับ เงินเฟ้อเป็นอันตรายต่อเงินที่ออมไว้เฉยๆ มากๆครับ ซึ่งประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อ ประมาณ 3-4 % ต่อปี
แล้วเงินเฟ้อเกี่ยวอะไรกับเงินออมด้วย ?
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพสักนิดนะครับ ว่าเงินเฟ้อเป็นตัวอันตรายกับเงินออมของเราอย่างไร
ลองสังเกตุราคาสินค้ารอบๆตัวเราตั้งแต่สมัยเรียนจนทำงานจนปัจจุบัน ราคาแพงขึ้นทุกอย่างใช่ไหมครับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเงินเฟ้อครับ
จากผลกรรมของเงินเฟ้อ ที่ทำให้มูลค่าเงิน ของเราลดลง ถ้าเราไม่เก็บเงินฝากเข้าธนาคาร เราก็จะได้รับผลของเงินเฟ้อเต็มๆ 3-4% (แต่ละปีไม่เท่ากัน) ซึ่งดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ณ ปัจจุบันนี้ ยังไม่ชนะเงินเฟ้อได้ครับ
ex. ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ = 3.5% ต่อปี อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4% ต่อปี ถ้าเรานำเงิน 100 บาท ไปฝากประจำ 1 ปี มูลค่าของเงิน จะลดลงไป 0.5% (3.5% - 4%) ต่อปี เป็น 99.50 บาท
ผมจะเน้นว่ามูลค่าของเงิน (Value) นะครับ ถ้าจะให้ดู จำนวนเงิน (Amount) เราก็ยังเห็นว่ามันก็เท่าเดิมนั่นแหละ
ตอนนี้น่าจะเห็นภาพคร่าวๆ เกี่ยวกับเงินเฟ้อที่มีผลกับเงินของเราแล้วนะครับ ซึ่งเราสามารถปิดข้อเสียของเงินเฟ้อนี้ได้ โดย การลงทุน ครั้งหน้าจะบอกวิธีการลงทุนเพื่อให้ชนะเงินเฟ้อและเพิ่มมูลค่าให้กับเงินของเราครับ
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
วางแผนการเงินของเราไปทำไม
ทำไมเราต้องวางแผนการเงินของเราเอง
"เงินซื้อชีวิตไม่ได้ แต่ทั้งชีวิตต้องใช้เงิน"
ตั้งแต่ผมเริ่มศึกษาเรื่อง การเงิน การลงทุน แทบทุกที่ จะเน้นเรื่อง การจัดการวางแผนการเงินของตัวเองให้ดีเสียก่อน (ผมขออนุญาติตัดประเด็นเรื่องการลงทุนไปก่อนนะครับ ขอแค่เรื่องการดำเนินชีวิตอย่างเดียวเลย)ทำไมต้องวางแผนการเงินของเราให้ดีเสียก่อน ก็เพราะว่า เพื่ออนาคตครับ ช่วงเวลาที่เรามีความสามารถในการหารายได้ เราหาได้น้อยกว่าที่จะต้องใช้ตลอดชีวิตครับ
- อายุ 0-22 ปีช่วงแรกเกิด ถึง เรียนจบ ใช้เวลา 22 ปี ยังไม่ต้องหาเงินเอง ใช้เงินพ่อ-แม่
- อายุ 22-60 ปี ช่วงที่เริ่มต้น ทำงาน ถึง เกษียณอายุ 38 ปี ช่วงนี้เราสามารถหารายได้ได้มากที่สุด คนที่ไม่ได้วางแผนอะไร ก็อาจจะ ใช้จ่ายซื้อของที่อยากได้โดยไม่ได้เป็นของที่จำเป็น ,ใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ,หมดก็หยิบยืมคนใกล้ตัว (อาจจะได้เงิน แต่เสียเพื่อนก็ได้)
- อายุ 60-80 ปี (ประมาณสัก 20 ปี) ก็ไม่น่าจะได้ทำงานแล้วครับ ถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา ไม่ได้เป็น ผู้บริหารอะไร บริษัทไม่ค่อยอยากจ้างครับ ไม่มีไฟ แถมยังค่าตัวสูงอีก ส่วนใหญ่ก็อยู่บ้านเฉยๆ แล้ว อายุ 60ปี ขึ้นไป แวะเข้า-ออก โรงพยาบาลเป็นว่าเล่น แทบจะสนิทกับหมอกันเลยทีเดียว แถมค่าใช้จ่าย ในโรงพยาบาล แพงขึ้นทุกๆปี
ช่วงเวลาที่หาเงิน 38 ปี ตอนนี้ เหลือกี่ปี กันแล้วครับ ??
แล้วในเวลาที่เหลือ จนกว่าจะอายุ 60 ปี นี้คุณเริ่มวางแผนทางการเงินไว้บ้างหรือยังครับ ,เริ่มเก็บออมบ้างหรือยัง หรือจะเริ่มทำบัญชีรายรับ-จ่าย ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีครับ
แปลกมากครับ การวางแผนการเงิน และทำตามแผนที่วางไว้ หลายคนมองว่าเป็นเรื่องยาก ถ้ายากจริงๆ ทำไมหลายๆคนยังทำได้ เผลอๆ น้องๆนักศึกษาบางคนก็ทำงาน หาเงิน เริ่มเก็บออม เริ่มลงทุนก็มีครับ
หากมีเวลาว่างลองกลับไปดู ใน 4 Part ที่ผมเคยเขียนไว้ สาเหตุของปัญหาการเงินของแต่ละคน แก้ไขได้ไม่ยาก "ถ้าคุณตั้งใจที่จะทำมันจริงๆ" ที่คุณเรียนจบ ก็ต้องตั้งใจเรียน จนจบมาได้ เรื่องนี้ก็ไม่ยากไปกว่ากันครับ เพียงเรียนมหาวิทยาลัยให้จบ มันไม่กี่ปี ต่างกับ ชีวิตที่เหลือของคุณมากครับ คุณต้องตั้งใจให้มากกว่าตอนเรียนซะอีก
การเก็บเงินเผื่อเกษียณ หรือ เผื่ออนาคตไม่ใช่เรื่องของคนอายุมากๆ ใกล้ๆเกษียณแล้วค่อยเตรียมเงิน ใครจะไปเตรียมทันครับ มันต้องค่อยๆเตรียมไปเรื่อยๆ เตรียมไปตั้งแต่ตอนนี้ ค่อยๆสร้างไปตั้งแต่เราเริ่มทำงานนี่แหละครับ หรือจะเก็บเงินเพื่อเป้าหมายอื่นๆก็ไม่ว่ากันครับ แต่ก็ต้องมีเป้าหมาย และระยะเวลาที่ชัดเจน และเป็นไปได้ด้วยครับ
ประเด็นคือ ไม่เก็บออม ใช้เงินอนาคต หยิบยืมคนใกล้ชิด แล้วยังคิดไม่ได้ว่า เราใช้เงินเกินตัวซะด้วยนะ เป็็นซะอย่างนั้น บางเดือนเงินเหลือ 500-1000 ก็เก็บครับ เก็บไปใช้เดือนหน้านะครับ ไม่ได้เอาไปเก็บออม ( = =") แต่แผนการเงินส่วนตัวของคุณช่วยได้ครับ วางแผนให้ดี และนำไปใช้อย่างมีวินัยครับ
ลองเก็บไปคิดกันอย่างจริงจัง เป็นการบ้านครับ เราจะต้องใช้เงินต่อเดือนเท่าไร? ในช่วงอายุ 60 ปี ถึง 80 ปี (ผมก็ไม่รู้ว่าเผื่ออายุพอหรือไม่ครับ ไม่ใช่เผื่อไว้ 20 ปี แล้วอยู่ได้อีก 30 ปี งานเข้าเลย) แล้วอยู่อย่างสุขสบาย (จะเผื่อเข้าโรงพยาบาล หรือไม่เผื่อก็ได้ครับ จะได้คิดง่ายๆ) เอาเงินที่ประมาณไว้ x 240 เดือน ดูว่า ควรจะต้องเตรียมเงินไว้เท่าไร เมื่อเราอายุ 60 และน่าจะอยู่ต่อไปได้อีก 20 ปี
อาจจะอึ้งกับตัวเลขนิดนึงนะครับ ฮ่าๆๆ ตัวเลขที่คิดมานี้เป็นค่าเบื้องต้นนะครับ ไม่ได้คิดอัตราเงินเฟ้อ ที่ทำให้มูลค่าของเงินของคุณลดลงทุกๆปี
ป้ายกำกับ:
การเงินส่วนบุคคล,
การออมเงิน,
ปัญหาการเงิน,
ปัญหาชีวิต,
วางแผนการเงิน
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต กรณีเลือกชำระไม่เต็มจำนวน
เมื่อ Part 4 ผมทิ้งไว้ว่าจะหาวิธีคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตมาให้ เชิญชมได้เลยครับ :D
ตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต กรณีเลือกชำระไม่เต็มจำนวน
อัตราดอกบี้ย 20%
วันสรุปยอด 20 เม.ย. 15
วันครบกำหนดชำระ 6 พ.ค. 15
ยอดที่ใช้จ่าย 20,000.00 บาท
วันที่เกิดยอด 13 เม.ย. 15 (วันที่รูดซื้อของ)
สมมุติเลือกจ่ายเพียงขั้นต่ำ คือ 10% ของยอดที่ใช้ไป = 2,000 บาท
ยอดชำระงวดแรก (ยอดที่ใช้จ่าย x 10%) = 2,000 บาท
งวดแรกชิลๆมากครับ รอดูงวดต่อๆไป
#########################################################################
ยอดชำระงวด 2 มี 2 ส่วน
1.) ตั้งแต่ 13 เม.ย. 2558 ถึง 05 พ.ค. 2558 (23 วัน)
ดอกเบี้ย(1) = ยอดที่ใช้จ่าย x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนวัน(ตั้งแต่วันที่รูดจ่าย ถึง วันก่อนชำระ 1 วัน)/จำนวนวันในปี
ดอกเบี้ย(1) = 20,000 x 20% x 23 วัน / 365 วัน = 252.0547945 บาท
--------------------------------------------------------------------------------
2.) ตั้งแต่ 06 พ.ค. 2558 ถึง 20 พ.ค. 2558 (15 วัน)
ดอกเบี้ย(2) = ยอดหนี้ที่เหลือ x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนวัน(ตั้งแต่วันครบกำหนดชำระ ถึง วันสรุปยอดในเดือนนั้น) /จำนวนวันในปี
ดอกเบี้ย(2) = 18,000 x 20% x 15 วัน / 365 วัน = 147.95 บาท
ดอกเบี้ยงวด 2 = 400.00 รวมหนี้คงเหลือ = 18,400.00 ครบกำหนดชำระ 6 มิ.ย. 2015
สมมุติว่า งวด 2 เคลียร์หนี้จนหมด 18,400 บาท แต่การคิดดอกเบี้ยยังไม่จบนะครับ
#########################################################################
ยอดชำระงวด 3
สมมุติว่าจ่าย 18,400 (เคลียร์หนี้ทั้งหมดในวันที่ 6 มิ.ย. 2558 ที่ผานมา) แต่ยังมีดอกเบี้ยในช่วง 21 พ.ค. 2558 ถึง 5 มิ.ย. 2558 (16 วัน)
ดอกเบี้ย = ยอดหนี้ที่เหลือ x อัตราดอกเบี้ย x จำนวนวัน(วันหลังจากวันสรุปยอด ถึง วันก่อนชำระ 1 วัน) / จำนวนวันในปี
ดอกเบี้ย = 18,000 x 20% x 16 วัน / 365 วัน = 157.8082192 บาท
ต้องชำระดอกเบี้ยที่เหลืออีก 157.80822 บาท กำหนดชำระ วันที่ 6 ก.ค. 2558
ยอด 20,000 บาท ผ่านไป 3 เดือน ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย 560 บาท โดยประมาณ
ผมไม่อยากจะคิดเลยครับว่า ถ้าเราชำระหนี้ด้วยการ จ่ายแค่ขั้นต่ำไปเรื่อยๆ เมื่อไรหนี้จะหมด เจออิทธิฤทธิ์ดอกทบต้น ทบแล้ว ทบอีก หลายปีครับกว่าจะหมด
ดังนั้น ถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิต ต้องรีบชำระให้หมด
มีข้อแนะนำอีกนิดนึงครับ เคสนี้ผมได้ยินมาจากรายการ โทรทัศน์รายการหนึ่งครับ หากยอดที่ต้องชำระมีเศษสตางค์ (รอบสุดท้าย) ให้ชำระเกินไป 1 บาทเลยครับ จะได้ไม่มียอดคงเหลือเป็นเศษสตางค์ แล้วดอกเบี้ยก็ยังคงเดินอยู่นะครับ แล้วจะมีจดหมายลึกลับจากศาลส่งมาที่บ้าน เพราะ เราไม่ไปชำระหนี้ธนาคาร ถ้าเจอแบบนี้ ให้ตรวจสอบและชำระหนี้ให้ถูกต้องนะครับ มิฉะนั้นจะทำให้ ประวัติ เครดิต บูโร ของคุณด่างพล้อยเลยนะครับ :D
ป้ายกำกับ:
ดอกเบี้ย,
บัตรเครดิต,
วิธีคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิต,
หนี้บัตรเครดิต
วิธีสร้างวินัยการออมเงิน ด้วยการฝากประจำ
เริ่มสร้างวินัยการออมง่ายๆ ด้วยการฝากประจำครับ
การฝากประจำ สร้างวินัยการออมเงินได้อย่างไร
การฝากประจำของธนาคารแต่ละแห่ง มีกฏพื้นฐานอยู่ 3 ข้อ
- ฝากด้วยจำนวนเงินเท่ากัน ทุกๆเดือน ตามแต่ตกลงกับธนาคาร เช่น เดือนละ 5,000 บาท เป็นต้น
- ห้ามถอนออกมาใช้ก่อน จริงๆแล้วถอนออกมาก่อนได้ครับ แต่ว่า อัตราดอกเบี้ยจะเป็นอัตราออมทรัพย์แทน ซึ่งแต่ละธนาคารอาจจะให้ไม่เท่ากัน ดูอัตราดอกเบี้ยออมทรัพย์ได้ที่นี่ หรือ อาจจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของธนาคารเช่นกันครับ
- การนำเงินเข้าไปฝาก อาจจะมีกำหนดระยะเวลา เช่น ไม่เกินวันที่ 5 ของเดือน แล้วแต่นโยบายของธนาคาร
ต้องเริ่มต้นอย่างไร
- หาข้อมูลการฝากประจำของแต่ละธนาคารก่อนครับ มีด้วยกัน 2 วิธี
- หาข้อมูลตามเว็บไซต์ของแต่ละ ธนาคาร ข้อนี้อาจจะใช้เวลามากสักนิดนึงครับ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากพอที่จะเลือกวี่าจะฝากกับธนาคารไหน
- หาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลเงินฝากไว้ให้แล้ว เช่น http://www.wealthmagik.com/Deposit/DepositList.aspx (ผมขอยกตัวอย่างจากวิธีนี้นะครับ)
- เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ให้พิจารณาจาก อัตราดอกเบี้ย ,จำนวนเดือนที่ต้องฝาก ,ยอดขั้นต่ำที่ต้องฝาก ,ภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ ,กฏข้อบังคับต่างๆ ให้เข้ากับที่เราต้องการมากที่สุดครับ
- เมื่อเลือกได้แล้วว่าเราต้องการฝากประจำ ธนาคารไหน ,ชื่อโครงการอะไร (คล้ายๆชื่อโปรโมชั่นโทรศัพท์มือถืออะครับ) ให้ติดต่อสอบถาม ธนาคารถึงรายละเอียดต่างๆ เพื่อยืนยันข้อมูลอีกที อีกอย่าง บางโครงการมี ระยะเวลาสิ้นสุดครับ ให้ถามข้อมูลส่วนนี้ด้วยครับ
เพิ่มเติมเรื่องภาษีจากดอกเบี้ยที่ได้รับ บางโครงการปลอดภาษีครับ ก็คือได้ดอกเบี้ยตามที่ประกาศไว้ ไม่มีหักภาษีครับ ส่วนโครงการที่ไม่ปลอดภาษี จะต้องเสียภาษี 15% ของดอกเบี้ยที่ได้รับ ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกครับ แล้วจะหาข้อมูลมาให้นะครับ
เริ่มต้นหาข้อมูลกันเลยครับ
1. ผมเข้าไปที่เว็บไซต์ http://www.wealthmagik.com/Deposit/DepositList.aspx เลื่อนลงมาด้านล่างครับจะมีข้อมูลเงินฝาก ตามรูปภาพนะครับ- สามารถเลือกเงื่อนไข เพื่อกรองข้อมูลตาม ระยะเวลาฝาก ที่เราต้องการครับ
- สามารถเลือกแต่ละโครงการเพื่อนำมาเปรียบเทียบได้ด้วยครับ
- สังเกตตรงชื่อโครงการจะมีตัวหนังสือสีแดง บอกว่า (ปิดโครงการแล้ว) อันนี้ก็จะเปิดบัญชีฝากไม่ได้แล้วครับ
2. ขอยกตัวอย่าง 7-12 เดือนนะครับ
- ส่วนหัวตารางในแต่ละ คอลัมน์ จะสามารถคลิกเพื่อ เรียงลำดับได้ครับ เช่นในรูปภาพผมเรียงตาม อัตราดอกเบี้ย มากที่สุดขึ้นมากก่อน
- ส่วนที่ 2 ที่นำมาพิจารณาต่อก็คือ จำนวนเงินขั้นต่ำ
3. สมมุติผมเลือก ฝากประจำพิเศษ 11 เดือน ของธนาคารเกียรตินาคิน (ไม่ได้ค่าสปอนเซอร์นะครับ ฮ่าๆ) ที่เลือกอันนี้เพราะว่า
- ดอกเบี้ยถือว่าสูงพอสมควร 3.15% (อย่าลืมติดต่อธนาคารเพื่อยืนยันอีกรอบนะครับ)
- จำนวนเงินฝากขั้นต่ำ 5,000 บาทต่อเดือน สำหรับผมถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ถ้าต้องฝาก 10,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อาจจะไม่พอค่าใช้จ่ายต่อเดือนของผมครับ
ลองคลิกเข้าไปดูรายละเอียดของโครงการ คลิกที่ชื่อโครงการได้เลยครับ
4. เมื่อเราพิจารณารายละเอียดแล้ว พอใจกับอัตราดอกเบี้ย , ระยะเวลาฝาก , จำนวนเงินเงินฝากขั้นต่ำ แล้ว ติดต่อธนาคารเพื่อยืนยันข้อมูลที่มีอีกทีครับ เมื่อยืนยันข้อมูลเรียบร้อยแล้ว ก็เดินทางไปเปิดบัญชีฝากประจำของเรา ได้เลยครับ
ข้อแนะนำสำหรับอยากเริ่มต้นฝากประจำ แต่ยังไม่สามารถฝากด้วยจำนวนเงินมากๆได้
- ให้ค้นหาจากการฝากประจำ "ทั้งหมด" ครับ
- คลิกหัวตาราง ที่คอลัมนน์ "จำนวนเงินฝากขั้นต่ำ (บาท)" แบบเรียงจากน้อยไปมากครับ ทีนี้ก็จะสามารถหา โครงการที่ฝากประจำ จำนวนเงินฝากต่อเดือนที่เราสามารถฝากได้ ได้แล้วครับ
การสร้างความมีวินัยด้วยการฝากประจำก็เป็นอีกวิธีที่ดีครับ เป็นการบังคับให้เราเก็บเงินไปในตัว เมื่อถึงวันครบกำหนด จะเห็นเงินก้อนก้อนนึงที่เราเก็บด้วยน้ำพักน้ำแรงเราเอง มันจะทำให้เรามีความภูมิใจ และความมีวินัยก็จะเริ่มติดตัวเราไปแล้วครับ
ป้ายกำกับ:
การออมเงิน,
ฝากประจำ,
วินัยการออม,
wealthmagik
วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 4 เพราะเป็นหนี้
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 4 เพราะเป็นหนี้
ในส่วนของการมีหนี้ (debt) โดยเฉพาะ หนี้ส่วนบุคคล ผมขอยกตัวอย่างเป็น บัตรเครดิต ที่เดี๋ยวนี้ทำได้ง่ายแสนง่าย เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาทก็ทำได้แล้ว เพราะเหตุผลนี้ครับ "กับดัก" ของนักศึกษาจบใหม่ หรือ มนุษย์เงินเดือน รุ่น Freshy หรือ ใครก็ตามที่ยังใช้จ่ายพอดีตัว (เดือนชนเดือน) ที่ยังไม่ทันได้รู้จักการใช้เงินให้เหมาะสม ก็มีคนมาเสนอ "เงินอนาคต" มาให้ใช้กันแล้ว
แต่ใช่ว่าการเป็นหนี้จะไม่ดีครับ
การเป็นหนี้จะดีได้ ถ้าหากหนี้ก้อนนั้น สามารถสร้าง มูลค่า (Value) ให้คุณได้ เช่น
- หนี้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)
- หนี้ที่นำมาสร้างกิจการ
- หนี้ที่นำไปซื้อสินทรัพย์เพิ่มค่า อย่างเช่น บ้านและที่ดิน
ส่วนหนี้อย่างอื่น ถ้าเป็นไปได้ผมก็ไม่อยากให้คุณผู้อ่านเป็นหนี้ครับ อย่างเช่น กู้ซื้อรถ
ดอกเบี้ยกู้ซื้อรถ ไม่สามารถจ่ายแบบ ลดต้น ลดดอก ได้เหมือนบ้าน เมื่อลองนำดอกเบี้ยที่ต้องเสียทั้งหมด รวมกับราคารถ อึ้งแน่นอน
ดอกเบี้ยกู้ซื้อรถ ยังไม่ค่อยหนักเท่าดอกเบี้ย บัตรเครดิต ,บัตรกดเงินสด ที่อัตราดอกเบี้ย 20% ขึ้นไป ทุกๆบัตร แถมวิธีการคิดดอกเบี้ยก็ บอกได้เลยครับหนี้บัตรแบบนี้แสนสาหัสครับ เจออิทธฤทธิ์ของดอกทบต้นเข้าไป ถ้าไม่รีบเคลียร์หนี้ให้หมด ต้องนอน ถอนหายใจ แล้วเอาหน้าผากก่ายเท้า แน่ๆครับ
ไว้ผมจะทำตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตมาให้ครับ
ผมทำตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตไว้ที่ ลิงค์ นี้แล้วครับ
ผมทำตัวอย่างการคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิตไว้ที่ ลิงค์ นี้แล้วครับ
โดยส่วนตัวผมมีบัตรเครดิตนะครับ ผมเอาไว้เผื่อจะซื้อของแล้วมีโปรโมชันบัตรเครดิต ก็จะใช้บัตรเครดิตรูดซื้อ แต่ ถ้าไม่มีโปรโมชันอะไร จ่ายเงินสด ไม่ก็ รูดด้วยบัตรเดบิต อย่างเดียวครับ ผมไม่ยอมเสียดอกเบี้ยเป็นอันขาด
ถ้าครั้งไหนผมใช้บัตรเครดิต ถึงวันจ่ายผมก็จะจ่ายให้ครบตามที่รูดไปในครั้งแรกเลยครับ ไม่มีเสียดอกเบี้ย แน่นอน
และสิ่งสำคัญอีกอย่างที่คนที่มีบัตรเครดิตไว้ครอบครอง ต้องฝึกหักห้ามใจตัวเองด้วยครับ เจอของที่อยากได้ แล้วก็รูดซื้อ เจออยากได้หลายๆอย่าง ถึงวันสรุปยอดมีซีดแน่นอน
ก่อนจะซื้ออะไรไตร่ตรองดูก่อน มันจำเป็นจริงๆหรือเปล่า ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วเรื่องการจัดการกับความอยาก Part 3 ครับ ลองย้อนกลับไปอ่านดูครับ
ถ้าเป็นหนี้อยู่แล้วจะแก้ปัญหาอย่างไรดี
การแก้ปัญหาการเป็นหนี้ ลองทำตามขั้นตอนนี้ครับ
- ลดรายจ่าย (Part1 พูดเรื่องลดรายจ่ายไว้ครับ)
- แยกแยะหนี้แต่ละก้อน และจัดลำดับความสำคัญไว้ครับ อันไหนต้องชำระก่อน-หลัง พวกดอกทบต้นรายเดือน แบบบัตรเครดิต สำคัญอันดับแรกเลย
- วางแผนการชำระหนี้ การชำระหนี้ต้องมีแผนครับ เช่นหนี้ ธ. ก.ไก่ เงินต้น+ดอกเบี้ย จะชำระหมดภายในเดือนไหน เราต้องรู้ครับ
- อย่าสร้างหนี้ใหม่ แน่นอนครับวงจรหนี้ จะหลุดออกมาได้ ต้องไม่สร้างหนี้เพิ่มด้วยนะครับ
- รีบเคลียร์หนี้ออกไปให้เร็วที่สุด
ทั้ง 5 ขั้นตอนนี้ ต้องทำความเข้าใจด้วยครับว่า ต้องใช้เวลา ต้องทำตามแผนที่วางไว้ และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีวินัยและความอดทน
ทุกปัญหา มีทางออก ตั้งสติ แล้วคิดให้รอบครอบ วางแผนให้ดี แล้วทำตามแผน
วิธีป้องกันก็คือ อย่าสร้างหนี้โดยไม่จำเป็น (โห เขียนง๊ายง่าย) ลองดูครับ คิด ก่อน จ่าย น่าจะทำให้ชีวิต ดี๊ ดี นะครับ
จะสังเกตได้ว่าในแต่ละ Part ที่ผมเขียนไว้จะเกี่ยวข้องกันหมด ใช่ครับมันเป็นพื้นฐานมากๆ ในการรักษาสุขภาพทางการเงินของเรา ใช้จ่ายอย่างมีสมอง ,ซื้อแต่ของจำเป็น (ลดความอยาก เพิ่มเหตุผล) , ถ้ามีหนี้ให้รีบเคลียร์, เงินเหลือก็เก็บออม
อ่อฝากกดไลค์ Page ด้วยครับ Wealthy Story
ขอให้ทุกคนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ไม่มีหนี้(ที่ไม่สร้าง Value)นะครับ
ขอบคุณครับ
วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 3 เพราะความอยาก
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 3 เพราะความอยาก
เรื่องความอยากได้ อยากมี อยู่ในตัวคนทุกๆคน จริงๆก็คือความโลภใช่มั้ยครับ แต่แปลกที่ว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะคิดได้ว่าสิ่งของเหล่านั้นที่เราอยากได้ มันจำเป็นหรือไม่ เพราะหากไม่จำเป็น ทำไมเราต้องเสียเงินเพื่อได้มันมาด้วยครับ แค่เปลี่ยนความคิด ชีวิตก็เปลี่ยนครับ ลองยกตัวอย่างบ้าง
Ex1.สมมุติว่าคุณสามารถเดินทางไปทำงาน โดยการโดยสารรถเมล์ได้ ถามว่ามีเหตุจำเป็นอะไรครับที่ต้องออกรถใหม่เพื่อจะใช้ขับขี่ไปทำงาน
อาจจะได้ยินเหตุผลที่ว่า รอรถเมล์นาน ไปทำงานไม่ทัน สรุปปัญหานี้ ปัญหาคือไม่มีรถส่วนตัวจริงๆหรือเปล่า
ผมคิดว่าปัญหานี้แก้ที่ นอนเร็วกว่าเดิม ตื่นเช้ากว่าเดิม นอกจากไม่จำเป็นต้องเสียเงินออกรถใหม่ + ค่าน้ำมัน +พรบ. +ประกัน + ค่ายาง ค่าบำรุงรักษาอื่นๆ ยังช่วยให้นาฬิกาชีวิตคุณดีขึ้นอีกต่างหาก
Ex2.อีกตัวอย่าง เช่นการเดินทาง ต้องจ่ายค่าทางด่วนทุกๆครั้ง เพราะรถติด แก้ปัญหาแบบเดิมครับ ออกให้เร็วกว่าเดิม เผลอๆ คุณวิ่งเส้นทางปกติก็ถึงไวกว่าขึ้นทางด่วนแล้วเจอรถติดซะอีก ประหยัดค่าทางด่วนไปได้ ขั้นต่ำรอบละ 50 บาท ไป-กลับวันนึงก็ 100 บาท เดือนนึง ทำงาน 20 วัน ก็ 2,000 บาท เก็บเงินเหล่านี้ไปซื้อหนังสือมาพัฒนาความรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้ตัวเราเองดีกว่าครับ
หลายคนบอกว่า รถเป็นสินทรัพย์ (Asset) ใช่ครับเป็นสินทรัพย์เสื่อมค่า ถ้าคุณใช้รถเพียงแค่เดินทาง มันมีแต่ค่าใช้จ่ายครับ หรือประโยชน์คือทำให้เราประหยัดเวลา ก็ย้อนกลับไปดูตัวอย่างแรกครับ ออกเร็วกว่าเดิม ใช้บริการขนส่งมวลชน (ประเทศญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่ใช้แต่ขนส่งมวลชนครับ ทำไมเค้าถึงไปทำงานกันทัน น่าคิดนะครับ)
สินทรัพย์เพิ่มค่า เช่น ที่ดิน หรือ สินทรัพย์ที่มูลค่าสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ที่ผมต้องการจะบอก ไม่ใช่ว่าห้ามซื้อรถนะครับ เพียงแต่จะบอกว่า มันจำเป็น และ สามารถซื้อมันได้จริงๆแล้วใช่มั้ย คิดให้ละเอียดครับ เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องซื้อรถเงินผ่อน นั่นล่ะครับภาระอันใหญ่หลวง แล้วไม่ใช่ส่งกันเดือน สองเดือน ของราคาแบบนี้ หลายปีครับ ทำให้เราหมดโอกาสนำเงินไปทำอะไรมากมายครับ เช่น พลาดโอกาสเก็บทองที่ลงไปกว่า 50% พลาดโอกาสหาที่อยู่อาศัยใหม่ เผื่อคุณจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ เพราะคุณมีภาระการผ่อนชำระอยู่ จะกู้เงินมาซื้อบ้านก็เป็นเรื่องลำบากครับ นอกจาก คุณจะกู้น้อยเพราะมีเงินเก็บจำนวนมากอยู่แล้ว (ถ้ามีเยอะมากๆ เอามาซื้อรถแบบไม่ต้องเสียดอกเบี่้ยดีกว่าครับ)
สุดท้ายครับ เรื่องอยากได้ ทุกคนมีความอยาก แต่จะจัดการกับความอยากนี้อย่างไรให้มีประโยชน์กับเรามากที่สุด การวิเคราะห์ว่า สิ่งใดจำเป็น สิ่งใดไม่จำเป็น (คิดแบบไม่อคติเข้าข้างตัวเองนะครับ) จะช่วยเราตัดสินใจได้ดี ว่าของสิ่งนั้นเราต้องซื้อจริงๆ หรือแค่อยากได้ อยากเท่ อยากคุยโว อยากโอ้อวด แต่ละอยากที่ยกตัวอย่างมา ถามว่าจำเป็นกับชีวิตหรือเปล่าครับ (ยังมีผลกระทบในอนาคต เพราะอาจทำให้คุณไม่มีเงินเก็บด้วยนะครับใน ตอนที่แล้ว) ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องสร้างปัญหาทางการเงินให้กับตัวเราเองครับ คิดให้ละเอียด และถี่ถ้วน หากคุณกำลังตัดสินใจจะใช้เงินซื้อของ ของสิ่งนั้นจำเป็น หรือ แค่อยากได้
ตอนหน้าปัญหาเรื่องหนี้ ที่บั่นทอนชีวิต และจิตใจใครหลายๆคน กดไลค์แฟนเพจรอติดตามได้เลยครับ
Ex1.สมมุติว่าคุณสามารถเดินทางไปทำงาน โดยการโดยสารรถเมล์ได้ ถามว่ามีเหตุจำเป็นอะไรครับที่ต้องออกรถใหม่เพื่อจะใช้ขับขี่ไปทำงาน
อาจจะได้ยินเหตุผลที่ว่า รอรถเมล์นาน ไปทำงานไม่ทัน สรุปปัญหานี้ ปัญหาคือไม่มีรถส่วนตัวจริงๆหรือเปล่า
ผมคิดว่าปัญหานี้แก้ที่ นอนเร็วกว่าเดิม ตื่นเช้ากว่าเดิม นอกจากไม่จำเป็นต้องเสียเงินออกรถใหม่ + ค่าน้ำมัน +พรบ. +ประกัน + ค่ายาง ค่าบำรุงรักษาอื่นๆ ยังช่วยให้นาฬิกาชีวิตคุณดีขึ้นอีกต่างหาก
Ex2.อีกตัวอย่าง เช่นการเดินทาง ต้องจ่ายค่าทางด่วนทุกๆครั้ง เพราะรถติด แก้ปัญหาแบบเดิมครับ ออกให้เร็วกว่าเดิม เผลอๆ คุณวิ่งเส้นทางปกติก็ถึงไวกว่าขึ้นทางด่วนแล้วเจอรถติดซะอีก ประหยัดค่าทางด่วนไปได้ ขั้นต่ำรอบละ 50 บาท ไป-กลับวันนึงก็ 100 บาท เดือนนึง ทำงาน 20 วัน ก็ 2,000 บาท เก็บเงินเหล่านี้ไปซื้อหนังสือมาพัฒนาความรู้ เพื่อเพิ่มรายได้ให้ตัวเราเองดีกว่าครับ
หลายคนบอกว่า รถเป็นสินทรัพย์ (Asset) ใช่ครับเป็นสินทรัพย์เสื่อมค่า ถ้าคุณใช้รถเพียงแค่เดินทาง มันมีแต่ค่าใช้จ่ายครับ หรือประโยชน์คือทำให้เราประหยัดเวลา ก็ย้อนกลับไปดูตัวอย่างแรกครับ ออกเร็วกว่าเดิม ใช้บริการขนส่งมวลชน (ประเทศญี่ปุ่น คนส่วนใหญ่ใช้แต่ขนส่งมวลชนครับ ทำไมเค้าถึงไปทำงานกันทัน น่าคิดนะครับ)
สินทรัพย์เพิ่มค่า เช่น ที่ดิน หรือ สินทรัพย์ที่มูลค่าสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
ที่ผมต้องการจะบอก ไม่ใช่ว่าห้ามซื้อรถนะครับ เพียงแต่จะบอกว่า มันจำเป็น และ สามารถซื้อมันได้จริงๆแล้วใช่มั้ย คิดให้ละเอียดครับ เพราะเชื่อว่าทุกคนต้องซื้อรถเงินผ่อน นั่นล่ะครับภาระอันใหญ่หลวง แล้วไม่ใช่ส่งกันเดือน สองเดือน ของราคาแบบนี้ หลายปีครับ ทำให้เราหมดโอกาสนำเงินไปทำอะไรมากมายครับ เช่น พลาดโอกาสเก็บทองที่ลงไปกว่า 50% พลาดโอกาสหาที่อยู่อาศัยใหม่ เผื่อคุณจำเป็นต้องย้ายที่อยู่ เพราะคุณมีภาระการผ่อนชำระอยู่ จะกู้เงินมาซื้อบ้านก็เป็นเรื่องลำบากครับ นอกจาก คุณจะกู้น้อยเพราะมีเงินเก็บจำนวนมากอยู่แล้ว (ถ้ามีเยอะมากๆ เอามาซื้อรถแบบไม่ต้องเสียดอกเบี่้ยดีกว่าครับ)
สุดท้ายครับ เรื่องอยากได้ ทุกคนมีความอยาก แต่จะจัดการกับความอยากนี้อย่างไรให้มีประโยชน์กับเรามากที่สุด การวิเคราะห์ว่า สิ่งใดจำเป็น สิ่งใดไม่จำเป็น (คิดแบบไม่อคติเข้าข้างตัวเองนะครับ) จะช่วยเราตัดสินใจได้ดี ว่าของสิ่งนั้นเราต้องซื้อจริงๆ หรือแค่อยากได้ อยากเท่ อยากคุยโว อยากโอ้อวด แต่ละอยากที่ยกตัวอย่างมา ถามว่าจำเป็นกับชีวิตหรือเปล่าครับ (ยังมีผลกระทบในอนาคต เพราะอาจทำให้คุณไม่มีเงินเก็บด้วยนะครับใน ตอนที่แล้ว) ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องสร้างปัญหาทางการเงินให้กับตัวเราเองครับ คิดให้ละเอียด และถี่ถ้วน หากคุณกำลังตัดสินใจจะใช้เงินซื้อของ ของสิ่งนั้นจำเป็น หรือ แค่อยากได้
ตอนหน้าปัญหาเรื่องหนี้ ที่บั่นทอนชีวิต และจิตใจใครหลายๆคน กดไลค์แฟนเพจรอติดตามได้เลยครับ
วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 2 ปัญหา ไม่ออมเงิน
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 2
คราวที่แล้วเราพูดถึงปัญหา รายได้น้อย/รายจ่ายเยอะ รวมถึงวิธีการแก้ไขปัญหา เล็กน้อยๆครับ
ปัญหาข้อต่อไป คือ ไม่ออมเงิน
ปัญหา ไม่ออมเงิน ปัญหาใหญ่มากๆๆๆๆ
เพราะว่าถ้าเราไม่ออมเงิน ไม่มีทางฟื้นจากความจนแน่นอน ผมขอยกตัวอย่างแบบเลวร้ายสุดๆไปเลย
Ex. สมมุติว่าคุณมีเงินเดือน 15,000 บาท มีภาระทางการเงิน เช่นผ่อนรถ จ่ายค่าเช่าห้อง เฉพาะ 2 อย่างนี้ ถ้าไม่ได้หารกับใคร ค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่คุณไม่ได้ใช้ก็ต้องจ่าย ก็ประมาณสัก 8,000 - 10,000 บาท วันนึงมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น (ขอเน้นว่าไม่คาดคิดครับ เพราะเราไม่รู้จริงๆว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน มันอาจจะไม่เกิดก็ได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นล่ะ)
เช่น เกิดอุบัติเหตุกับตัวเราเอง ,พ่อ-แม่เจ็บป่วยหนักกระทันหัน ,บริษัทที่ทำงานอยู่เลิกจ้าง (กรณีหลังสุดนี้เริ่มเห็นในข่าวบ่อยขึ้นนะครับ อย่างไรเราควรจะมีแผนสำรองไว้บ้าง)
แต่ละเคสที่ผมยกขึ้นมา ถ้าไม่มีเงินเก็บ คุณจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรครับ
ตัวอย่างนี้แก้ปัญหายากมากครับ เพราะว่าคุณมีหนี้อยู่ วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดสำหรับกรณีนี้คือ รีบปลดหนี้ให้เร็วที่สุดครับ บางคนอาจจะบอกว่าจะให้เร็วได้ยังไง ผ่อนรถ 48 เดือนอยู่ ยังส่งได้ไม่ถึงครึ่งเลย
ตอบแบบตรงๆครับว่า กรณีนี้ต้องทำใจยอมรับครับ เพราะหนี้กู้ซื้อรถ มันไม่เหมือนบ้าน แบบจ่ายลดต้น ลดดอกได้ ถ้าทำได้ หนี้ก้อนนั้นจะหมดเร็วขึ้นครับ
วิธีป้องกัน ดังนี้ครับ
- เมื่อได้เงินเดือน ให้หักออก 20% เก็บเลยครับ (หากวางแผนแล้ว 20% เยอะไปให้เริ่มที่ 5% ครับ และทุกๆ 3 เดือนให้เพิ่ม 5% จนถึง 20% ถ้ามากกว่านั้นได้ก็จะยิ่งดีมากครับ) เงินเดือน 15,000 เก็บไป 3,000 บาท 80% ที่เหลือให้คุณใช้ทั้งเดือน 12,000 บาท คุณต้องอยู่ให้ได้ การยับยั้งชั่งใจก็เป็นตัวแปรสำคัญครับ เพราะมันจะทำให้คุณเป็นคนที่ ใช้เงินจำกัด แต่เก็บเงินไม่จำกัด
- ฝึกนิสัย ทำรายรับ-รายจ่าย เพื่อสิ้นเดือนเราจะมาสรุปดูครับว่า เรายังสามารถลดอะไรที่ไม่จำเป็นได้อีกบ้าง ผมเน้นคำว่าฝึกหนักมาก เพราะว่า หลายๆคนคง คิดอยู่ในใจว่า ทำงานก็เหนื่อยแล้ว ทำไมเราต้องมาลงรายรับรายจ่ายด้วย ถ้าคุณคิดแบบนั้น บอกเลยครับว่า จนตลอดชีวิต แน่นอน ต้องฝึกให้เป็นนิสัย และจะทำให้เรามีวินัยด้วยครับ
- ต้องมีวินัย คือ ทำให้เป็นประจำสม่ำเสมอ เก็บทุกๆเดือน ทำรายรับ-รายจ่ายทุกๆวัน
- ข้อนี้สำคัญมากครับ ถ้าเป็นไปได้ อย่า เป็น หนี้ ศัตรูตัวร้าย ของการออมเงินก็คือ หนี้ ครับ พวก 0% 10 เดือน บ้าง ผ่อนของใช้ทั้งหลายบ้าง
ลองคิดดูครับ เงินคุณต้องเก็บ 3,000 อยู่แล้ว ผมบังคับเก็บ 20% ของเงินเดือน สมมุติเงินที่คุณเหลือใช้ทั้งเดือน 12,000 บาท พอคุณผ่อนของปุ๊ป เดือนละ 3,000 บาท สมมุตว่าผ่อน Iphone 6 คุณเหลือเงินสำหรับกิน อยู่ 11,000 บาท ผมว่าไม่พอหรอกครับ สมมุตค่าห้องเช่า สัก 5,000 รวมค่าน้ำ ค่าไฟด้วย เหลืออีก 6,000 คุณกิน+เดินทางได้วันละ ไม่ถึง 200 บาท
เทคนิคการเก็บเงิน
- เก็บแบงค์ 50 บาท คือ หวงหนักมากครับ หวงพอๆกับเหรียญสิบเลย (เพราะเหรียญสิบบาทผมต้องใช้ซักผ้า) พอได้แบงค์ 50 ทอนมาปุ๊ป คือเข้าซอกกระเป๋าไปเลยครับ อย่าเอามาปนกับเงินที่ใช้จ่ายปกติ จริงๆ แยกที่เก็บไปเลยก็ดีครับ แต่สำหรับคนที่แบบ มันจะใช้จ่ายได้พอดีเดือนจริงๆ แบงค์ 50 เก็บใส่กระเป๋าสตางค์เลยครับ (เผื่อฉุกเฉินเงินหมด ต้องใช้เดี๋ยวนั้น แต่ถ้าไม่จำเป็นอย่าใช้ พอสิ้นเดือน เอาเงินส่วนนี้เก็บเข้าบัญชีเงินออมไปด้วยเลยครับ)
- นอกจากที่ผมแบ่งเงินเก็บก่อน ใช้ทีหลังแล้ว หากใช้เหลือผมก็เอามาเก็บอีกเช่นกัน
- สำหรับคนชอบช้อปปิ้ง ใช้เท่าไร ต้องเก็บ 10% ที่ใช้ไป ข้อนี้ลำบากครับ ต้องมาแบ่งเก็บทีละครั้งๆ มีโอกาสผิดวินัยสูงมาก (ผมไม่ได้ใช้ เพราะไม่ค่อยช้อป ฮ่าๆ)
สุดท้ายครับ : สร้างความมีวินัยทางการเงินให้กับตัวเองครับ การเงินของเราเอง เราสร้างมันได้เอง และพังมันได้เองเช่นเดียวกันครับ ขอให้ทุกคนสามารถเก็บเงินได้ครับ
ท่านผู้อ่านคนไหนอยากแชร์เทคนิคเก็บเงินดีๆ เจ๋งๆ แชร์กันได้ตามสบายที่คอมเม้นท์ข้างใต้ได้เลยครับ
วันอังคารที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 1
ทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงมีปัญหาเรื่องเงินกันนะ ?? Part 1
มีคำพูดเล่นๆว่า เงินเดือนอยู่กับเราถึงวันที่ 5 มาม่า อยู่กับเราถึงสิ้นเดือน ผมว่าอาจจะจริงนะ บางคนอาจจะอยู่ตั้งแต่กลางเดือน หรือ ปลายๆเดือน แต่จริงๆแล้ว เราสามารถทำให้ไม่ต้องเจอมาม่าเลยก้ได้ครับ (เจอไวไวแทน ไม่ใช่แล้วว >,<)
สาเหตุหลักๆของปัญหา คือ
- รายได้น้อย/รายจ่ายเยอะ
- ไม่ออมเงิน
- ความคิดที่อยากได้ อยากมี สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ
- เป็นหนี้
ผมขอพูดในมุมของมนุษย์เงินเดือนอย่างผมนะครับ โพสต์นี้ขอข้อแรกก่อน
ผมขอพูดในมุมของมนุษย์เงินเดือนอย่างผมนะครับ โพสต์นี้ขอข้อแรกก่อน
1. รายได้น้อย/รายจ่ายเยอะ
การแก้ปัญหา รายได้น้อย อย่างง่ายๆเลยครับ ต้องอัพเกรดทักษะการทำงานของตัวเอง การเก็บเกี่ยวประสบการณ์เอามาใช้โยชน์ให้ได้มากที่สุด และหารายได้เสริมครับ
ผมว่าหลายๆคนอาจจะคิดว่ามันช้าไปบ้าง มันต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อไปเรียนบ้าง แค่รายได้ตอนนี้ก็เดือนชนเดือนแล้ว แค่ทำงานปกติวันนึงก็เหนื่อยแล้ว ขอเวลาพักผ่อนบ้าง จริงๆแล้วมันอยู่ที่ความคิดและการจัดการทั้งปัญหา และเวลาของเราครับ
- การอัพเกรดทักษะการทำงาน มันทำได้หลากหลายวิธีครับ ความรู้ฟรีๆบน Internet มีมากมายครับ อาจจะยากตรงที่ไม่มีคนป้อนให้ตามที่เราอยากรู้ครับ แต่ผู้สอนบางท่านก็ให้ข้อมูลไว้เพื่อติดต่อภายหลังได้ครับ เรามีข้อสงสัยอะไร ก็ติดต่อตามที่ผู้สอนให้ไว้ สมัยนี้มี Social Media ทำให้ติดต่อได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ
- การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเอามาใช้ประโยชน์ เรื่องนี้จะใช้เวลานานหรือไม่นานขึ้นอยู่กับ ปัญหาที่เราเจอและหาทางแก้ไขมันครับ ผมเชื่อว่าในทุกปัญหา มีโอกาสซ่อนอยู่ ยกตัวอย่าง หากทีมงานของคุณกำลังคิดแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ คุณลองคิดไตร่ตรอง พิจารณาอย่างถี่ถ้วนครับ ว่าเราน่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง ลองเสนอวิธีการแก้ปัญหานั้นดูครับ วิธีนี้นอกจากทีมจะได้ไอเดียหลากหลายในการแก้ปัญหาแล้ว ผู้ใหญ่ในองค์กร หรือหัวหน้า(ที่ดี)ของคุณ จะมองว่าคุณสามารถพึ่งพาได้ องค์กรหลายๆองค์กร ต้องการคนแบบนี้ครับ.
- การหารายได้เสริม เรื่องรายได้เสริมนี้ อาจจะไม่ต้องทำ หลังเลิกงาน จันทร์-ศุกร์ ก็ได้ครับ ลองส่องกระจกแล้วมองตัวเองครับ ลองคิดดูว่าเราชอบทำอะไร พอเราคิดออกแล้ว ให้เราลองทำไปก่อนครับอย่าพึ่งไปคิดถึงว่า ต้องได้รายได้เท่านั้นเท่านี้ ถ้าคิดแบบนั้นจากที่ได้ทำอะไรที่ชอบ กลายเป็นไม่ชอบแน่ๆครับ เช่น ชอบเล่นดนตรี ก็ลองอัดคลิปลง YouTube แชร์ให้เพื่อนๆใน Social Media ต่างๆ ไม่ต้องเขินครับ มันอาจจะดีก็ได้ วันนึงคุณอาจจะได้รายได้จากการที่คุณโชว์ร้องเพลงที่คุณชอบก้ได้ครับ อย่างค่าโฆษณาบน YouTube เอง หรือมีแบรนด์ต่างๆ มาให้คุณใช้สินค้าของเขาเพื่อโปรโมทสินค้าก็ได้ครับ
การเลือกงานที่จะทำ เรื่องนี้ก็เป็นการป้องกันปัญหาอีกวิธีหนึ่งครับ สังเกตครับ ทุกๆองค์กรตำแหน่งที่รายได้ดี จะเป็นตำแหน่งที่หารายได้ให้กับองค์กรนั้นๆครับ เช่น พนักงานขาย นักการตลาด โบรกเกอร์ ฯลฯ เพราะว่าคนที่หารายได้ให้องค์กรได้มาก องค์กรก็อยากจะรักษาคนนั้นไว้ เพื่อที่จะหารายได้ให้กับองค์กรต่อไป แน่นอนครับก็ต้องเลี้ยงเราด้วยเงินเดือนที่มากกว่าตำแหน่งทั่วๆไป
แต่มันเป็นดาบสองคม อ้าวว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ (ขอเน้นขีดเส้นใต้ตัวหนาเลยครับ) เพราะว่าการที่เราเลือกงานมากๆ หากเราตกงานหรือไม่มีรายได้อยู่ ณ ตอนนั้น กลายเป็นเรื่องที่เสี่ยงหนักกว่าการมีรายได้น้อยอีกครับ ยิ่งถ้าคนที่ต้องห่างไกลบ้าน อยู่ตามห้องเช่า หอพัก จะมีรายจ่ายเข้ามาทุกๆเดือน ไหนจะค่ากิน ที่มีมาทุกๆวัน ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับชีวิตของคุณแล้ว ผมขอแนะนำว่า งานอะไรก็ทำไปก่อนครับ อย่างน้อยๆก็ควรมีรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และไม่ให้เป็นหนี้(ค่าเช่าต่างๆ)ได้ครับ
1.2 รายจ่ายเยอะ
การแก้ปัญหา รายได้น้อย อย่างง่ายๆเลยครับ ต้องอัพเกรดทักษะการทำงานของตัวเอง การเก็บเกี่ยวประสบการณ์เอามาใช้โยชน์ให้ได้มากที่สุด และหารายได้เสริมครับ
ผมว่าหลายๆคนอาจจะคิดว่ามันช้าไปบ้าง มันต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อไปเรียนบ้าง แค่รายได้ตอนนี้ก็เดือนชนเดือนแล้ว แค่ทำงานปกติวันนึงก็เหนื่อยแล้ว ขอเวลาพักผ่อนบ้าง จริงๆแล้วมันอยู่ที่ความคิดและการจัดการทั้งปัญหา และเวลาของเราครับ
- การอัพเกรดทักษะการทำงาน มันทำได้หลากหลายวิธีครับ ความรู้ฟรีๆบน Internet มีมากมายครับ อาจจะยากตรงที่ไม่มีคนป้อนให้ตามที่เราอยากรู้ครับ แต่ผู้สอนบางท่านก็ให้ข้อมูลไว้เพื่อติดต่อภายหลังได้ครับ เรามีข้อสงสัยอะไร ก็ติดต่อตามที่ผู้สอนให้ไว้ สมัยนี้มี Social Media ทำให้ติดต่อได้ง่ายยิ่งขึ้นครับ
- การเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเอามาใช้ประโยชน์ เรื่องนี้จะใช้เวลานานหรือไม่นานขึ้นอยู่กับ ปัญหาที่เราเจอและหาทางแก้ไขมันครับ ผมเชื่อว่าในทุกปัญหา มีโอกาสซ่อนอยู่ ยกตัวอย่าง หากทีมงานของคุณกำลังคิดแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ คุณลองคิดไตร่ตรอง พิจารณาอย่างถี่ถ้วนครับ ว่าเราน่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรบ้าง ลองเสนอวิธีการแก้ปัญหานั้นดูครับ วิธีนี้นอกจากทีมจะได้ไอเดียหลากหลายในการแก้ปัญหาแล้ว ผู้ใหญ่ในองค์กร หรือหัวหน้า(ที่ดี)ของคุณ จะมองว่าคุณสามารถพึ่งพาได้ องค์กรหลายๆองค์กร ต้องการคนแบบนี้ครับ.
- การหารายได้เสริม เรื่องรายได้เสริมนี้ อาจจะไม่ต้องทำ หลังเลิกงาน จันทร์-ศุกร์ ก็ได้ครับ ลองส่องกระจกแล้วมองตัวเองครับ ลองคิดดูว่าเราชอบทำอะไร พอเราคิดออกแล้ว ให้เราลองทำไปก่อนครับอย่าพึ่งไปคิดถึงว่า ต้องได้รายได้เท่านั้นเท่านี้ ถ้าคิดแบบนั้นจากที่ได้ทำอะไรที่ชอบ กลายเป็นไม่ชอบแน่ๆครับ เช่น ชอบเล่นดนตรี ก็ลองอัดคลิปลง YouTube แชร์ให้เพื่อนๆใน Social Media ต่างๆ ไม่ต้องเขินครับ มันอาจจะดีก็ได้ วันนึงคุณอาจจะได้รายได้จากการที่คุณโชว์ร้องเพลงที่คุณชอบก้ได้ครับ อย่างค่าโฆษณาบน YouTube เอง หรือมีแบรนด์ต่างๆ มาให้คุณใช้สินค้าของเขาเพื่อโปรโมทสินค้าก็ได้ครับ
การเลือกงานที่จะทำ เรื่องนี้ก็เป็นการป้องกันปัญหาอีกวิธีหนึ่งครับ สังเกตครับ ทุกๆองค์กรตำแหน่งที่รายได้ดี จะเป็นตำแหน่งที่หารายได้ให้กับองค์กรนั้นๆครับ เช่น พนักงานขาย นักการตลาด โบรกเกอร์ ฯลฯ เพราะว่าคนที่หารายได้ให้องค์กรได้มาก องค์กรก็อยากจะรักษาคนนั้นไว้ เพื่อที่จะหารายได้ให้กับองค์กรต่อไป แน่นอนครับก็ต้องเลี้ยงเราด้วยเงินเดือนที่มากกว่าตำแหน่งทั่วๆไป
แต่มันเป็นดาบสองคม อ้าวว ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ (ขอเน้นขีดเส้นใต้ตัวหนาเลยครับ) เพราะว่าการที่เราเลือกงานมากๆ หากเราตกงานหรือไม่มีรายได้อยู่ ณ ตอนนั้น กลายเป็นเรื่องที่เสี่ยงหนักกว่าการมีรายได้น้อยอีกครับ ยิ่งถ้าคนที่ต้องห่างไกลบ้าน อยู่ตามห้องเช่า หอพัก จะมีรายจ่ายเข้ามาทุกๆเดือน ไหนจะค่ากิน ที่มีมาทุกๆวัน ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับชีวิตของคุณแล้ว ผมขอแนะนำว่า งานอะไรก็ทำไปก่อนครับ อย่างน้อยๆก็ควรมีรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และไม่ให้เป็นหนี้(ค่าเช่าต่างๆ)ได้ครับ
1.2 รายจ่ายเยอะ
การแก้ปัญหา รายจ่ายเยอะ ในความคิดของผมมันเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปครับ อันดับแรกเลย ทดลองทำรายการ "รายรับ-รายจ่าย" ดูครับ ว่าในแต่ละเดือนนั้นคุณมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เท่าไร จากนั้นลองพิจารณาดูว่า รายจ่ายของคุณ รายการไหนบ้างที่จริงๆแล้วไม่จำเป็น เช่น กาแฟแก้วละ 150 บาท จำเป็นจริงๆมั้ย หรือเราจะกินกาแฟ 3 in 1 แทนดี ชงแล้วใส่แก้วที่ซื้อจากร้าน "แมลงดาว" ก็ได้ครับ ดูหรูหราเหมือนกัน ฮ่าๆ
สมมุติ ทำงาน 20 วันต่อเดือน เปลี่ยนจาก 150 บาท * 20 = 3,000 บาท ต่อเดือน (ผมไม่แน่ใจว่าซองเท่าไรนะครับ ผมกินกาแฟออฟฟิต เพราะว่ามันฟรี แต่อร่อยน้อยหน่อย แต่ผมเอาแค่ไม่หลับครับ อร่อยเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเท่าไร) เป็น 15 บาท * 20 = 300 บาทต่อเดือน มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีก 2,700 บาท
ถ้าคุณเป็นหนี้อยู่ ก็สามารถเอาเงินส่วนหนี้ไปใช้หนี้ได้บ้าง หรือถ้าคุณใช้เงินเดือนชนเดือน ก็นำเงินส่วนนี้ ไปเป็นเงินเก็บก้ได้ครับ
จบแล้ววว ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้ยืดยาวขนาดนี้เลยครับ ผมอยากเขียนสั้นๆเพื่อให้เพื่อนได้อ่านกันสบายๆ ไม่หนักจนเกินไป อย่างไรก็ตาม คุณผู้อ่านทดลองนำไปใช้ดูครับ ผมเชื่อว่า คนเราตั้งใจทำอะไร จนถึงที่สุดแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จแน่นอนครับ ใครอยากแชร์ หรือ ติ-ชม คอมเม้นท์ใต้โพสนี้ได้เลยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
การแก้ปัญหา รายจ่ายเยอะ ในความคิดของผมมันเป็นเรื่องที่ไม่ยากจนเกินไปครับ อันดับแรกเลย ทดลองทำรายการ "รายรับ-รายจ่าย" ดูครับ ว่าในแต่ละเดือนนั้นคุณมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เท่าไร จากนั้นลองพิจารณาดูว่า รายจ่ายของคุณ รายการไหนบ้างที่จริงๆแล้วไม่จำเป็น เช่น กาแฟแก้วละ 150 บาท จำเป็นจริงๆมั้ย หรือเราจะกินกาแฟ 3 in 1 แทนดี ชงแล้วใส่แก้วที่ซื้อจากร้าน "แมลงดาว" ก็ได้ครับ ดูหรูหราเหมือนกัน ฮ่าๆ
สมมุติ ทำงาน 20 วันต่อเดือน เปลี่ยนจาก 150 บาท * 20 = 3,000 บาท ต่อเดือน (ผมไม่แน่ใจว่าซองเท่าไรนะครับ ผมกินกาแฟออฟฟิต เพราะว่ามันฟรี แต่อร่อยน้อยหน่อย แต่ผมเอาแค่ไม่หลับครับ อร่อยเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นเท่าไร) เป็น 15 บาท * 20 = 300 บาทต่อเดือน มีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีก 2,700 บาท
ถ้าคุณเป็นหนี้อยู่ ก็สามารถเอาเงินส่วนหนี้ไปใช้หนี้ได้บ้าง หรือถ้าคุณใช้เงินเดือนชนเดือน ก็นำเงินส่วนนี้ ไปเป็นเงินเก็บก้ได้ครับ
จบแล้ววว ไม่ได้ตั้งใจจะเขียนให้ยืดยาวขนาดนี้เลยครับ ผมอยากเขียนสั้นๆเพื่อให้เพื่อนได้อ่านกันสบายๆ ไม่หนักจนเกินไป อย่างไรก็ตาม คุณผู้อ่านทดลองนำไปใช้ดูครับ ผมเชื่อว่า คนเราตั้งใจทำอะไร จนถึงที่สุดแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จแน่นอนครับ ใครอยากแชร์ หรือ ติ-ชม คอมเม้นท์ใต้โพสนี้ได้เลยนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ป้ายกำกับ:
การเงินส่วนบุคคล,
ปัญหาการเงิน,
ปัญหาชีวิต,
มนุษย์เงินเดือน,
อยากรวย
สวัสดีครับ
ขอเกริ่นนำสักนิดครับ
ตัวผมเพิ่งเรียนจบ และทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากเวลาผ่านไปได้ไม่นาน เพื่อนๆของผมก็เริ่มทยอยแต่งานกันไป บางคนถึงกับมีลูกแล้ว เลยกลับมาคิดย้อนดู ทั้งตัวเอง และคนรอบข้าง ว่าจริงๆแล้วเราเตรียมตัวเพื่ออนาคตไว้ดีพอแล้วหรือยัง เตรียมตัวเพื่ออนาคตในที่นี้ คือ การเก็บออม การลงทุน การหาความรู้ เพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง จึงอยากแจะแชร์ ประสบการณ์ มุมมอง คำแนะนำ หรือข้อคิดสะกิดใจ ให้คนอื่นบ้างครับทำไมถึงอยากจะแชร์เรื่องราวเหล่านี้
เนื่องจากผมรู้สึกได้ครับว่า การวางแผนเพื่ออนาคต ของผมเองและคนใกล้ตัวหลายๆคนมีความแตกต่างกันอยู่พอสมควร
สาเหตุของความแตกต่างนั้น (ผมขอเดาว่า) น่าจะเป็นเพราะเรื่องโสด กับ มีแฟนแล้ว คือ คนที่มีแฟนแล้วจะมองถึงอนาคต "เพื่อเรา" มากกว่าคนโสดจะมองความสุขปัจจุบัน "เพื่อตัวเอง"
เรื่องการวางแผน ไม่ว่าจะเป็นการทำอะไรก็ตาม ผมคิดว่า "เราควรมีแผน" ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็น การใช้ชีวิตไปวันๆ ไปตายเอาดาบหน้า ถ้าเป็นแบบนี้ไม่ส่งผลดีต่อการดำเนินชีวิตภายหลังแน่นอนครับ
ตอนนี้ผมมีเรื่องที่อยากจะแชร์มากมาย จะทยอยเขียนให้เพื่อนๆได้อ่านกันครับ :D
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)